‘กองทุน’ชี้หุ้นไทยผันผวน ลุ้นสิ้นปีดัชนีแตะ1,400จุด

‘กองทุน’ชี้หุ้นไทยผันผวน ลุ้นสิ้นปีดัชนีแตะ1,400จุด

กองทุนชี้หุ้นไทย 5 เดือนที่เหลือยังคงผันผวน คาดดัชนีสิ้นปีอยู่ที่ 1,300-1,400 จุด บลจ.กรุงศรี แนะเพิ่มน้ำหนักหุ้นกลุ่มอาหาร-เครื่องดื่ม-เทคโนโลยี-พาณิชย์”บลจ.ทิสโก้ เชียร์ซื้อหุ้นพื้นฐานดี-มีปันผลสูง ฝั่งบลจ.กรุงไทยแนะเก็บหุ้นรับอานิสงส์ดอกเบี้ยต่ำ

นายวิพุธ เอื้ออานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี จำกัด เปิดเผยว่าตลาดหุ้นไทยในช่วง 5 เดือนที่เหลือของปีนี้ มีแนวโน้มเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบที่ไม่หวือหวาเมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปีนี้ โดยมองว่าดัชนีสิ้นปี 2563 จะอยู่ที่ระดับ1,400 จุด เนื่องจาก คาดว่าเศรษฐกิจไทยและกำไรของบริษัทจะค่อยๆฟื้นตัวจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และนโยบายการเงินการคลังที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำนับเป็นอีกปัจจัยส่งเสริมการลงทุนในหุ้น ส่วนการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด 

สำหรับกลยุทธ์ในช่วงที่เหลือของปีนี้ แนะหาโอกาสเพิ่มน้ำหนักลงทุนในบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มพาณิชย์เป็นต้น โดยกลุ่มหุ้นที่บริษัทให้น้ำหนักลงทุนมากกว่าตลาด ได้แก่ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม, กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพราะรายได้ผันผวนไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ต่ำ ส่วนกลุ่มหุ้นที่ให้น้ำหนักลงทุนน้อยกว่าตลาด คือ กลุ่มโรงแรม กลุ่มภัตตาคาร และกลุ่มขนส่ง

นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า บริษัทยังคงคาดดัชนีหุ้นไทยสิ้นปี 2563 อยู่ที่ 1,300-1,350 จุด ซึ่งระหว่างทางอาจมีโอกาสขยับขึ้นได้เล็กน้อย เนื่องจากภาวะดอกเบี้ยต่ำและสภาพคล่องในระบบที่ค่อนข้างมากอาจจะมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาได้ ประกอบกับหลังคลายล็อกดาวน์แล้วทำให้เศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัวค่อยเป็นค่อยไป

ดังนั้น กลยุทธ์ลงทุนบริษัทยังคงแนะนำ ธีม “Stock Selection” หรือ เลือกลงทุนหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานดี และหุ้นปันผลสูง

นายสมชัย อมรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนและลูกค้าสัมพันธ์ บลจ.กรุงไทย กล่าวว่า คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปี 2563 อยู่ที่ 1,350 จุด เพราะคาดกำไรบจ.หดตัว 22% และประเมินว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้ตลาดหุ้นไทยยังมีความผันผวนต่อเนื่อง

แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจอาจจะดีขึ้นกว่าในช่วงครึ่งแรกของปี แต่ถือว่ายังคงอ่อนแอกว่าช่วงก่อนวิกฤติโควิด-19 แต่หากมีปัจจัยบวกเรื่องวัคซีนโควิด-19 เชื่อว่าดัชนีปรับตัวดีขึ้นกว่าที่คาด โดยแนะเน้นลงทุนหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลดีจากอัตราดอกเบี้ยต่ำและหุ้นที่มีผลดำเนินงานเติบโต