‘กรุงศรี’ชี้เงินกองทุนปึ้ก คงนโยบายตั้งสำรองเข้ม

‘กรุงศรี’ชี้เงินกองทุนปึ้ก คงนโยบายตั้งสำรองเข้ม

“ธนาคารกรุงศรีอยุธยา” ยันฐานะการเงินแข็งแกร่ง เหตุ มีเงินกองทุน 16.56% สำรองส่วนเกินสูง พร้อมคงนโยบายตั้งสำรองที่เข้มงวด ยันเดินหน้าซื้อหุ้นธุรกิจสินเชื่อรายย่อยในฟิลิปปินส์ เตรียมสรุปราคาซื้อขายอีกครั้ง

นายเซอิจิโระ อาคิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY เปิดเผยว่า จากที่ธนาคารมีการตั้งสำรองหนี้เสียและสำรองส่วนเกินเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในแต่ละปี ยืนยันว่า ขณะนี้ธนาคารมีความแข็งแกร่งและมีความปลอดภัยในระดับสูงสามารถรองรับความเสียหายต่อธุรกิจอันเกิดจากภาวะเศรษฐกิจขั้นเลวร้าย อีกทั้งในปี 2562 ธนาคารยังคงมีอัตราส่วนเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง อยู่ที่ระดับ 16.56% และหากเป็นของกรุงศรี กรุ๊ป อยู่ที่ระดับ 17.81% ทำให้มั่นใจว่า ยังสามารถรองรับการเติบโตของธนาคารในอนาคตได้ ขณะเดียวกันธนาคารได้คัดกรองการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความระมัดระวังต่อเนื่องจากปีก่อน

สำหรับในช่วงครึ่งปีแรก 2563 ธนาคารได้มีการตั้งสำรองมากขึ้น และยังคงนโยบายการตั้งสำรองที่มีความเข้มงวดต่อไป แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่ามาจากผลกระทบโควิด-19 มากน้อยแค่ไหน เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังไม่สิ้นสุด และยังมีมาตรการผ่อนคลายของธปท.อยู่ คาดว่าสิ้นปีนี้น่าเห็นภาพชัดเจนขึ้น และประเมินว่าสถานการณ์โควิด-19 ยังคงอยู่ไปอีกในระยะ 18 เดือนข้างหน้า

"ภาวะดังกล่าวที่เกิดขึ้นในปีนี้ ทำให้ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง ต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้น แต่ในส่วนของเราอาจไม่ได้ตั้งสำรองเพิ่มมากเท่าคนอื่น เพราะที่ผ่านมา เราสามารถจัดการดูแลคุณภาพหนี้ได้ดีระดับหนึ่ง ด้วยการตั้งสำรองมากกว่าที่ธปท.กำหนด ทำให้มีสำรองส่วนเกินค่อนข้างมาก และจัดชั้นตามเกณฑ์  ขณะเดียวกันในปี2563 ที่มีการเปลี่ยนมาตรฐานบัญชีTFRS9 แต่ธนาคารไม่จำเป็นต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้นมาก เพราะที่ผ่านมาเราบริการจัดการดี”

ส่วนกรณีการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อให้กับ บมจ. การบินไทย (THAI) วงเงินราว 2,000 กว่าล้านบาทนั้น ในส่วนนี้ธนาคารได้จัดชั้นเป็นหนี้เสีย และมีการตั้งสำรองเต็มจำนวนแล้ว

นายแดน ฮาร์โซโน่ ประธานกลุ่มลูกค้ารายย่อย และลูกค้าบุคคล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า กรณีการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท SB Finance Company Inc. (SBF) ที่ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยในฟิลิปปินส์จาก Security Bank Corporation (SBC) ในสัดส่วน 50% โดยมีมูลค่าการลงทุนเบื้องต้นจำนวน 1,828.2 ล้านเปโซฟิลิปปินส์ หรือคิดเป็น 1,096.9 ล้านบาท นั้น เป็นการตกลงก่อนที่จะเกิดสถานการณ์โควิด-19 แต่อย่างไรก็ตาม มูลค่าการซื้อขายดังกล่าว จะมีการสรุปราคาสุดท้ายอีกครั้งซึ่งจะเป็นราคาที่รวมผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 แล้ว

ทั้งนี้ธนาคารยังยืนยันที่จะลงทุนในบริษัทดังกล่าวแม้ว่าผลกระทบโควิด-19 ในฟิลิปปินส์ อาจเลวร้ายกว่าที่คาด เพราะตลาดฟิลิปปินส์ยังมีความน่าสนใจลงทุนในระยะยาวอีก 15-20 ปี