'บักกิงแฮม พาเลซ จิน' จินแห่งพระราชวังอังกฤษ

 'บักกิงแฮม พาเลซ จิน'  จินแห่งพระราชวังอังกฤษ

เมื่อกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา 'พระราชวังบักกิงแฮม' (Buckingham Palace)  แห่งอังกฤษ ได้เปิดตัว 'บักกิงแฮม พาเลซ จิน' (Buckingham Palace Gin) ต่อสาธารณชน สร้างความฮือฮาให้กับคนรักจินทั่วโลก

จินแห่งพระราชวังอังกฤษ เป็นจินสไตล์ ลอนดอน ดราย จิน (London Dry Gin) ผลิตจากวัตถุดิบ 12 ชนิด เช่น Lemon,  Verbena, Hawthorn Berries และ Mulberry Leaves ที่เก็บด้วยมือจากสวนพฤกษ์ศาสตร์แห่งพระราชวังที่มีพื้นที่กว่า 100 ไร่ แคแรคเตอร์เด่นคือมีกลิ่นหอม หลัก ๆ คือ ซีทรัสและเฮิร์บ บรรจุภัณฑ์เป็นขวดแก้ว ลายดอกไม้สีฟ้าสะอาดตา ขนาดบรรจุ 70 เซนติลิตร แอลกอฮอล์ 42%

159561084044

       Hawthorn Berries

159561087121

       Lemon

Buckingham Palace Gin ไม่มีการส่งออก ขายเฉพาะในสหราชอาณาจักรเท่านั้น และไม่ขายให้กับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เริ่มขายวันแรกเมื่อวันที่ 23 ก.ค.63 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันแรกที่เปิดพระราชวังรับนักท่องเที่ยวนั่นเอง ราคาขวดละ  40 ปอนด์สเตอร์ลิง หรือประมาณ 1,600 บาท มีจำหน่ายที่ Royal Collection Trust Shops และสั่งทางออนไลน์ได้

159561055719

      Buckingham Palace Gin

159561095581

      Mulberry Leaves

159561102520

      Verbena

รายได้จากการจำหน่าย Buckingham Palace Gin จะนำไปสมทบทุนเข้ากองทุน Royal Collection Trust ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลที่ทำหน้าที่การดูแลและอนุรักษ์ Royal Collection เพื่อช่วยเหลือทำนุบำรุงพระราชวัง และบริเวณจัดนิทรรศการด้านใน ซึ่งที่ผ่านมาถูกพิษของ COVID-19 ทำให้ราชวงศ์อังกฤษต้องหารายได้มาทดแทน จากการที่ต้องปิดพระราชวังและสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ หลายแห่งซึ่งนับเป็นรายได้หลักของราชวงศ์ คาดกันว่าทางพระราชวังสูญเสียรายได้ไปกว่า 1,200 ล้านบาท โดยพระราชวังบักกิงแฮมได้กลับมาเปิดรับนักท่องเที่ยวอีกครั้งเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา พร้อมมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคมอย่างเคร่งครัด

159561060767

       จิน เครื่องดื่มทรงโปรดที่เสวยเป็นประจำ

สาเหตุที่วังบักกิงแฮม เลือกผลิตจินออกขาย เพราะจินเป็นเครื่องดื่มสุดโปรดของควีนอลิซาเบธที่ 2 รวมไปถึงควีนมัม ซึ่งว่ากันว่าพระองค์ต้องพกติดตัวไว้เสมอ มีหลักฐานยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นกระดาษที่พระองค์ทรงเขียนด้วยลายพระหัตถ์สั่งให้เจ้าหน้าที่เตรียมค็อกเทลทรงโปรดไว้ให้ ต่อมากระดาษใบนั้นได้ถูกประมูลไปด้วยราคาสูงถึง 600,000 กว่าบาท พระองค์จะเสวยจิน 1 แก้วทุกวัน ก่อนพระกระยาหารกลางวัน โดยค็อกเทลสูตรของพระองค์ คือ เทจินลงในแก้ว เติมน้ำแข็ง 2 ก้อน พร้อมด้วยเลม่อนฝานบาง ๆ

159561067217

         สวนในวังบักกิงแฮม

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สมาชิกราชวงศ์อังกฤษผลิตเครื่องดื่มประเภทนี้ เพราะก่อนหน้านั้นเจ้าชายชาร์ลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ ยังได้เคยเดินหน้าผลิตเครื่องดื่มออร์แกนิค ที่ไร่คอร์นวอลล์ของพระองค์เอง ขณะที่สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ก็เคยเรียนรู้วิธีการกลั่นซิงเกิล มอลต์ วิสกี้ ที่พระราชวังบัลมอรัล ในประเทศสก็อตแลนด์ ในช่วงที่พระองค์เสด็จไปพักร้อน เป็นต้น

สำหรับ ลอนดอน ดราย จิน (London Dry Gin) นั้นผู้ที่อยู่นอกวงการเครื่องดื่มส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าเป็นจิน (Gin) ที่ผลิตในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษเท่านั้น จริง ๆ ก็ถูกส่วนหนึ่ง เพราะเป็นจินสไตล์อังกฤษโดยเฉพาะ มีต้นกำเนิดในกรุงลอนดอน การผลิตมีการเติมพืชพันธุ์ต่าง ๆ ในขณะที่กลั่นครั้งที่ 2-3 นิยมในอังกฤษและชาติที่เคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ รวมทั้งสหรัฐและสเปน

159561107080

ดังนั้นที่อื่น ๆ ก็สามารถทำ London Dry Gin ได้ ขอให้ผลิตตามแบบหรือสไตล์ London Dry Gin เท่านั้น โดยลักษณะเด่นอยู่ที่ความหลากหลายของรสหวานและหอมกรุ่น มีข้อกำหนดในการผลิตหลายอย่าง เช่น ในกระบวนการสุดท้ายห้ามเติมความหวานเกิน 0.1 กรัม/ลิตร, ห้ามเติมหรือตกแต่งด้วยสีใด ๆ และห้ามเติมส่วนผสมใด ๆ นอกจากน้ำ เป็นต้น ขณะที่ข้อกำหนดของสหภาพยุโรปหรืออียู (EU) กำหนดปริมาณแอลกอฮอล์ของLondon Dry Gin ไว้ที่ 37.5% ABV เป็นต้น

จุดกำเนิดของ London Dry Gin เริ่มในช่วงทศวรรษ 1720 ทั้งการผลิต และการขายจินในอังกฤษเจริญรุ่งเรืองมาก บ้านเรือนกว่าครึ่งของกรุงลอนดอนถูกใช้เพื่อการผลิตและขายจิน ศตวรรษที่ 18 เริ่มใช้เทคโนโลยีมากขึ้น เช่นการกลั่นด้วยหม้อทองแดง (Pot stills) เหมือนการกลั่นวิสกี้ และบรั่นดี เป็นครั้งแรก ก่อนจะค้นพบการกลั่นแบบต่อเนื่อง (Column Still หรือ Continuous still, Patent still และ Coffey still) ในปี 1832 ที่สำคัญเป็นการจุดประกายให้การผลิตจินสไตล์ ลอนดอน ดราย (London dry) พัฒนาขึ้นมาในปลายศตวรรษที่ 19 จนเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบัน

159561072455

       ภาพวาดแสดงถึงการกลั่นจินยุคแรก ๆ

คนอังกฤษนั้นบ้าจินกันมายาวนานมากโดยเฉพาะในกรุงลอนดอน ย้อนกลับไปในช่วงปี 1720 ทั้งการผลิต และการขายจินในอังกฤษเจริญรุ่งเรืองมาก บ้านเรือนกว่าครึ่งของกรุงลอนดอนถูกปรับเปลี่ยนใช้เพื่อการผลิตและขายจิน  ส่งผลให้เกิดปัญหาสังคมที่รัฐบาลอังกฤษวิตกอย่างยิ่ง ขณะที่ วิลเลียม โฮการ์ธ (William Hogarth) นักเขียนการ์ตูนชื่อดังได้วาดภาพล้อเลียนชื่อ “จิน เลน” (Gin Lane) เป็นถนนสายหนึ่งที่มีทั้งคนขายจินและคนดื่มเมามายในลักษณะต่าง ๆ กัน พร้อมบทกวีหลายบท

159561016246          ภาพ Gin Lane

ขณะที่รัฐบาลอังกฤษมองเห็นปัญหาที่จะตามมาจึงเริ่มเข้ามาควบคุม ด้วยการ การออกกฎหมาย Gin Act 1736 เพื่อเก็บภาษีจินให้แพงขึ้น แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จึงออกกฎหมาย Gin Act 1751 ตามมาบังคับให้ผู้ผลิตขายจินให้กับผู้ค้ารายย่อยที่มีใบอนุญาตเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้จินเถื่อนและกิจกรรมที่ต่อเนื่องกันลดจำนวนลงไปเลย คนลอนดอนยังดื่มจินกันอย่างบ้าคลั่ง

ในช่วงศตวรรษที่ 18 การผลิตจินในอังกฤษเริ่มใช้เทคโนโลยีมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการกลั่นด้วยหม้อทองแดง (Pot stills) เหมือนการกลั่นวิสกี้ และบรั่นดี เป็นครั้งแรก ก่อนจะค้นพบการกลั่นแบบต่อเนื่อง (Column Still หรือ Continuous till, Patent Still และ Coffey Still) ในปี 1832 เป็นการจุดประกายให้การผลิตจินในสไตล์ ลอนดอน ดราย จิน (London Dry Gin) ได้รับการพัฒนาขึ้นมาในปลายศตวรรษที่ 19 จนเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบัน

159561110179

      ด้านหน้าวัง 

ปัจจุบันในอังกฤษมีการตั้งสมาคมจินและวอดก้า (Gin and Vodka Association of Great Britain หรือ GVA) ขึ้นมาเพื่อโปรโมทจินของอังกฤษ ซึ่งทุกวันนี้ชาวเมืองผู้ดีดื่มจินกันปีละกว่า 20 ล้านลิตร จากที่เคยเป็นเครื่องดื่มราคาถูกของชนชั้นกรรมากรเมื่อ 50 ปีก่อน

ส่วนในประเทศที่เคยเป็นเมืองขึ้นอังกฤษบางประเทศ ผลิตจินแบบขมนิด ๆ โดยเติมควินิน (Quinine) ซึ่งเป็นส่วนผสมของยาป้องกันมาเลเรียลงไปด้วย ซึ่งควินินนี้เป็นหนึ่งในส่วนผสมของน้ำโทนิก (Tonic Water) เคยใช้ในอินเดียและแอฟริกา ถ้าไปอินเดียอาจจะได้ยินคนอินเดียเรียกว่าอินเดียน โทนิก  (Indian tonic water) เป็นเหตุผลหรือที่มาว่าทำไม Gin กับ Tonic จึงเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย แม้ว่าปัจจุบันควินินจะไม่ได้ใช้ต้านมาเลเรียมากเหมือนแต่ก่อนแล้วก็ตาม

อย่างที่กล่าวในตอนต้น บักกิงแฮม พาเลซ จิน (Buckingham Palace Gin) จำหน่ายเฉพาะในสหราชอาณาจักร แถมการเดินทางไปอังกฤษในตอนนี้ยากมาก ในบ้านเราจึงได้แต่มอง..!!

                                     

จิน...สุราอุดมสมุนไพร        

จิน เป็นสุรากลั่นที่นำแอลกอฮอล์ที่บริสุทธิ์ที่สุด มาหมักกับเครื่องเทศ สมุนไพรและผลจูนิเปอร์ เบอร์รี (Juniper Berries หรือ Juniperus Communis) แล้วนำไปกลั่นซ้ำเป็นครั้งที่ 2 - 3 เดิมเป็นเหล้ายาสมุนไพร มีหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าค้นพบในฮอลแลนด์ในปี 1650 โดย ดร.ฟรานซิสกัส เดอ ลา บัว  (Dr.Franciscus de La Boë ) หรือหมอซิลเวียส (Dr.Sylvius) แห่ง The University of Leyden ที่พยายามหายารักษาความบกพร่องของไต ด้วยการผสมผสานแอลกอฮอล์จากธัญพืช เช่น ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรน์ และข้าวโพด กับ Juniper berries ดังกล่าว

1595611426100

       หมอซิลเวียส

159561034075

เครื่องเทศ พืชและสมุนไพร่ที่นิยมใช้ในการผลิตจิน (Gin) พร้อมสรรพคุณ มีดังนี้ : จูนิเปอร์ (Juniper) วัตถุดิบสำคัญที่สุด เป็นต้นไม้ที่มีผลเขียวรสเผ็ดและหอมหวาน นอกนั้นยังมี เปลือกส้ม (Orang Peel) ให้กลิ่นหอมและรสซ่า / อานีส (Anise) ให้กลิ่นหอมยั่วยวนใจ  / ยี่หร่า (Caraway) เป็นยากระตุ้นพลังขับเลือดขับลม  / หวายเทศ (Caramus) เป็นยาอายุวัฒนะ  / ออร์ริส (Orris Root) รากต้นลานที่มีกลิ่นหอม และเป็นยาแก้โรคสารพัดชนิด / โกฎน้ำเต้า (Rhubarb) เป็นยารักษาโรคสารพัดโรคอีกชนิดหนึ่ง  / เมล็ดอัลมอนด์ (Almond) ให้กลิ่นหอมและสรรพคุณทางยา / คาลัมบา (Calamba) ต้นไม้รากขมที่ใช้เป็นยารักษาโรค เป็นต้น

159561036094

จิน (Gin) แบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ดังนี้

ลอนดอน ดราย จิน (London Dry Gin) : เป็นจินสไตล์อังกฤษโดยเฉพาะ มีการเติมพืชพันธุ์ต่าง ๆ ในขณะที่กลั่นครั้งที่ 2-3 มีกลิ่นหอม นิยมในอังกฤษและชาติที่เคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ รวมทั้งสหรัฐและสเปน ใช้ผสม Martini เป็นหลัก

159561039127          

พรีเมาธ์ จิน (Plymouth Gin) : เป็นจินที่ฟูลบอดี้ เมื่อเทียบกับ London Dry Gin สีใส กลิ่นผลไม้อ่อน ๆ แต่โดยรวมหอมมาก ปัจจุบันผลิตโดยโรงกลั่นแห่งหนึ่งในเมืองพลีเมาธ์ ซึ่งถือลิขสิทธิ์คำว่า “Plymouth Gin” ด้วย

159561044696          

โอลด์ ทอม จิน (Old Tom Gin) : เคยเป็นจินที่ได้รับความนิยมมากในศตวรรษที่ 18 ได้ชื่อมาจากเครื่องขายเครื่องดื่มในผับเป็นแมวดำที่เรียกว่า Old Tom  มีรสหวาน เนื่องจากส่วนใหญ่ใช้กากน้ำตาล เป็นวัตถุดิบ ใช้ผสมค็อกเทล ทอม คอลลิน (Tom Collins) โดยเฉพาะ

เจนีเวอร์ หรือ ฮอลแลนด์ (Genever or Hollands) : เป็นจินสไตล์ดัตช์โดยเฉพาะ กลั่นจากธัญพืชคล้ายวิสกี้ แบ่งเป็น Oude (Old) Genever เป็นแบบดั้งเดิมหวานนิด และหอม และ Jonge (young) Genever ดรายและบอดี้เบา Genever บางยี่ห้อบ่ม 1-3 ปีในถังโอ๊ค และแอลกอฮอล์ต่ำกว่า Gin ของอังกฤษคือประมาณ 36-40 % ขายดีในฮอลแลนด์ เบลเยี่ยม และเยอรมนี