ยึดอนุสาวรีย์ฯจี้ยุบสภา

ยึดอนุสาวรีย์ฯจี้ยุบสภา

ม็อบนักศึกษายึดอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ประกาศจุดยืน 3 ข้อ เรียกร้องรัฐบาลยุบสภา ชูสัญลักษณ์ “สามนิ้ว” ไล่รัฐบาล

การนัดชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอก–Free YOUTH และกลุ่มสหภาพนักเรียนนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) ได้เริ่มต้นก่อนเวลา 17.00 น.วันที่ 18 กรกฏาคม ตามที่มีการนัดหมาย ทำกิจกรรมร่วมกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนินกลาง กทม.

โดยกิจกรรมชุมนุมทางการเมืองครั้งนี้ มีจุดยืนเรียกร้องให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออก ภายใต้คอนเซปต์ “ไม่ทนอีกต่อไป” โดยผู้ชุมนุมจำนวนมากใส่เสื้อสีดำเป็นสัญลักษณ์ โดยมีตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ ท้องที่ และหน่วยอื่น ร่วมสังเกตการณ์ และดูแลความสงบเรียบร้อย

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศว่า ในเวลา 17.00 น.กลุ่มผู้ชุมนุมที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น ได้ผลักดันแผงเหล็กกั้นของเจ้าหน้าที่ บริเวณหน้าร้านแมคโดนัลด์ ลงมาถนนราชดำเนินกลาง ฝั่งขาออกและปิดการจราจรเพื่อขยายพื้นที่การปราศรัย มีการนั่งฟังบนพื้นถนน ทำให้การจราจรถนนราชดำเนินเริ่มติดขัด

ทั้งนี้ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เดินทางมาบัญชาการเหตุการณ์ และระบุว่า การชุมนุมที่เกิดขึ้นไม่ได้รับการประสานขออนุญาต ส่วนการฝ่าฝืนผลักดันรั้วเหล็กลงมาบนพื้นถนน เบื้องต้นไม่พบผู้ได้รับบาดเจ็บ

ส่วนการประเมินการชุมนุมขณะนี้ เจ้าหน้าที่พยายามกำหนดให้ผู้ชุมนุมอยู่กับที่ และหากต้องมีการชุมนุมต่อเนื่องข้ามวัน ก็จะจัดกำลังเจ้าหน้าที่คอยดูแลความปลอดภัยให้ ทั้งนี้ยืนยันว่าการดำเนินการของตำรวจจะดำเนินการโดยยึดตามหลักของกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับข้อเรียกร้องของกลุ่มเยาวชนปลดแอก ที่เปิดเผยก่อนหน้านี้มี 3 ข้อประกอบด้วย 1.เรียกร้องให้รัฐบาลประกาศยุบสภาทันทีหลังบริหารเศรษฐกิจล้มเหลวโดยเฉพาะ การเกิดถ้าระบาดของไวรัสโควิด ส่งผลให้คนตกงานและขาดรายได้จำนวนมาก 2.หยุดคุกคามประชาชน การใช้กฎหมายและข้ออ้างความมั่นคงปิดปากประชาชน 3.เรียกร้องให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่

ทั้งนี้ผู้มาร่วมชุมนุม ได้สวมหน้ากากอนามัยป้องกันเชื้อโควิด-19 และมีการร้องตะโกน “ประยุทธ์ออกไป” พร้อมกับชูสามนิ้ว เป็นสัญลักษณ์ มีการสลับกันขึ้นเวทีอภิปรายโจมตีการทำงานของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ก่อนที่จะเคลื่อนขบวนไปยึดพื้นที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เพื่อตั้งเวทีปราศรัย และพร้อมใจกันยืนตรง ร้องเพลงชาติร่วมกันในเวลา 18.00 น.

สำหรับ การชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มนักศึกษาครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกหลังจากมีการระบาดของโควิด-19 เรียกร้องยกเลิกพรก.ฉุกเฉิน

 สำหรับการปราศรัยบนเวทีในเวลา 18.00 น.แกนนำทั้งกลุ่มเยาวชนปลดแอก FreeYouth และกลุ่มสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) ได้สลับกันขึ้นเวที

โดยนายพริษฐ์ ชีวารักษ์ แกนนำ สนท. ขึ้นปราศรัยว่า การมารวมตัวกันวันนี้เป็นสัญญาณเตือนถึงรัฐบาลว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ถูกนำมาใช้ควบคุมประชาชน ยิ่งนำกฎหมายมาใช้ในทางที่ไม่ชอบ วันหนึ่งไม่ว่ากฎหมายใดก็จะหมดความศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ทันที ไม่เช่นนั้นประชาชนจะออกมายกเลิกเอง

ขณะที่นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ซึ่งเป็น 1 ใน 2 ของผู้ถือป้ายประท้วง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขณะลงพื้นที่ จ.ระยอง ได้ขึ้นปราศรัยว่า พวกเราไม่กลัว พล.ประยุทธ์ จันทร์โอชา วันนี้ตนเดินทางมาจาก จ.ระยอง เพื่อมาไล่นายกฯ แม้ว่า ล่าสุดนั้นจะมีการส่งหมายเรียกไปที่บ้านตนแล้ว แต่แม่ตนบอกว่า ถ้าไม่ครบ 100 หมายเรียกไม่ต้องกลับบ้าน

นายภาณุพงศ์ กล่าวว่า ถ้ามีการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มากลั่นแกล้งตน ถือว่าคิดผิด เพราะชีวิตเกิดมาครั้งเดียว ตายหนเดียว ในวันที่ 23 ก.ค.นี้ ตนจะเดินทางไปที่สภ.เมืองระยองเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ถ้าข้อความป้ายประท้วงที่ตนถือไปนั้นนายกฯรับไม่ได้ ก็ลาออกไป ถ้าเจ้าหน้าที่ทำร้ายประชาชนแม้แต่คนเดียว ตนจะไม่กลับระยอง รับรองว่าอนุสาวรีย์ฯไม่พอพวกเรามาชุมนุมด้วย 

ตนขอเรียกร้องไปยังรัฐบาล 3 ข้อคือ 1.ยุบสภา 2.ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และ3.หยุดคุกคามประชาชน การใช้กฎหมายและข้ออ้างความมั่นคงปิดปากประชาชน

“วันนี้ผมไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ก่อนออกจากบ้าน ได้บอกแม่ให้เตรียมเงินทำศพไว้เลย บอกเลยว่าผมไม่กลัวตาย”นายภาณุพงศ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในช่วงค่ำ มีแกนนำผู้ชุมนุมสลับกันขึ้นเวทีปราศัยโจมตีรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังประกาศว่า จะนอนค้างคืนที่บริเวณอนุสารีย์ประชาธิปไตย เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยอีกด้วย 

ขณะที่มีกลุ่มศิลปินสลับกันขึ้นเวทีเพื่อผ่อนคลายให้ผู้ชุมนุม รวมทั้ง RAD – Rap Against Dictatorship เจ้าของเพลง ประเทศกูมี ได้มาร่วมร้องเพลง โดยไม่มีดนตรีด้วย

ขณะที่ตำรวจได้ปิดการจราจรบางส่วนบนถนนราชดำเนินกลาง ขาเข้า ตั้งแต่ลงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า เพื่อให้ผู้ใช้รถใช้ถนนหลีกเลี่ยงบริเวณการชุมนุม เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมได้ปักหลักยึดพื้นที่รอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

ชวนประชาชนออกมาสมทบ
ขณะที่เพจเฟสบุ๊ค สหภาพนักเรียนนิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) ได้โพสต์ระบุว่า "ใครที่ยังไม่มา มาตอนนี้ก็ยังทัน ประกาศปักหลักทั้งคืน !!! ส่วนเฟสบุ๊คส่วนตัวของนายทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี เลขาธิการกลุ่มเยาวชนปลดแอก ได้โพสต์ข้อความระบุว่า "คืนนี้เราจะ #นอนเฝ้าประชาธิปไตย ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนมาสมทบกับเราได้ตลอดทั้งคืนครับ"


“ธนาธร” ปัดอยู่เบื้องหลังชุมนุม


ทางด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ที่อาคารไทยซัมมิท ทาวเวอร์ ถึงการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษา โดยตอบข้อถามว่าจะเดินทางไปร่วมให้กำลังใจหรือไม่ว่า อยากบอกว่าขนาดตัวเองไม่ได้ไปเข้าร่วมกิจกรรมก็ยังถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ที่ชักใยและสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งนักศึกษากลุ่มนี้ทำกิจกรรมไปด้วยเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ของพวกเขา

“พวกเราไม่ได้มีส่วนเข้าไปร่วมในการตัดสินใจจึงจะไม่ได้ไปยังสถานที่การจัดชุมนุม เพราะเกรงจะถูกข้อกล่าวหาว่าทำการชักใยอยู่เบื้องหลัง แต่ขอส่งกำลังใจให้กลุ่มนักศึกษาและประชาชนทุกหมู่เหล่าที่ต้องการเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตยให้กลับคืนสู่ประเทศไทย ขอให้กำลังใจทุกคนในการต่อสู้กับเผด็จการและอยากเชิญประชาชนทุกคนที่ได้ยินเสียงของผมให้สนับสนุนนักศึกษากลุ่มนี้ด้วย ให้ช่วยกันไปร่วมชุมนุมในครั้งนี้เพื่อแสดงเสียงของประชาชนว่าเราไม่ต้องการรัฐบาลที่มาจากการสืบทอดอำนาจไม่ต้องการรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร และเราต้องการให้ประเทศเดินกลับสู่ความเป็นประชาธิปไตย”นายธนาธร กล่าว
‘โรม’ให้กำลังใจขอจนท.อย่าใช้กำลัง

ทางด้าน นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์เฟสบุ๊คส่วนตัว โดยระบุว่า ขอเป็นกำลังใจให้พี่น้องประชาชน และเยาวชนนักเรียน นิสิต และนักศึกษาทุกท่าน ในการชุมนุมเพื่อแสดงออกถึงเจตนารมณ์ของตัวเอง และส่งเสียงไปยังรัฐบาลที่ใช้อำนาจโดยขาดความรับผิดชอบ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ไปดูแลการชุมนุมครั้งนี้ จะปฏิบัติหน้าที่ เอื้ออำนวยให้การชุมนุมดำเนินไปได้ด้วยดี จะสอดส่องและป้องกันไม่ให้มีผู้ไม่หวังดีฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ จะไม่หันมาใช้กำลังกับผู้ชุมนุมเสียเอง และจะไม่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งผู้ชุมนุม โดยเฉพาะ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่อ้างนักอ้างหนาว่ามีไว้เพื่อแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 เท่านั้น

“อย่าให้ผมรู้ว่ามีเจ้าหน้าที่คนใดมุ่งร้ายต่อผู้ชุมนุม เพราะนั่นเท่ากับคุณเป็นศัตรูของประชาชนและผู้แทนประชาชนอย่างผมคงไม่อาจปล่อยให้พวกคุณลอยนวลได้”