'ทวี สอดส่อง' เปิดข้อมูล 'กยศ.' จ้างทนายดําเนินคดีผู้กู้เงิน 'ได้ไม่คุ้มเสีย'

'ทวี สอดส่อง' เปิดข้อมูล 'กยศ.' จ้างทนายดําเนินคดีผู้กู้เงิน 'ได้ไม่คุ้มเสีย'

พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ เปิดตัวเลขการใช้เงิน 'กยศ.' จ้างสํานักทนายความดําเนินคดีผู้กู้เงิน กยศ. ที่ 'ได้ไม่คุ้มเสีย' พร้อมแนะแนวทางยกเครื่อง กยศ. ใหม่ให้ดีกว่าเดิม

พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ โพสต์ในเฟซบุ๊คส่วนตัว Tawee Sodsong - พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง ประเด็นเกี่ยวกับการใช้เงิน กองทุน กยศ. จ้างสํานักทนายความดําเนินคดีผู้กู้เงิน กยศ. เป็นการ “ได้ไม่คุ้มเสีย” พร้อมรายละเอียด และข้อเสนอแนะสำหรับ "กยศ." และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมีข้อมูลดังนี้ 

159392592531

การใช้เงิน กองทุน กยศ. จ้างสํานักทนายความดําเนินคดีผู้กู้เงิน กยศ. เป็นการ “ได้ไม่คุ้มเสีย”

พรบ.กยศ. พ.ศ. 2541 ได้ถูกแก้ไขใหม่เป็น พรบ. กยศ. พ.ศ. 2560 ที่เปลี่ยนแปลงหลักคิดและปรัชญาที่มุ่งเชิงพาณิชย์และธุรกิจมากขึ้น อาทิ การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจากร้อยละ 1 เป็น ร้อยละ 7.5 ให้อํานาจนายจ้างดําเนินการหักเงินเดือนจากลูกจ้างที่เป็นหนี้ก ยศ.ได้เมื่อกองทุนได้แจ้งไป ให้อํานาจ กยศ. เข้าถึงและเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของลูกหนี้ได้ และกองทุน กยศ. มี "บุริมสิทธิ" คือ หลังจากหักไปจ่ายกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ กองทุนสํารองเลี้ยงชีพ ประกันสังคม แล้ว ต้องจ่ายหนี้ กยศ. ก่อน เจ้าหนี้รายอื่น เป็นต้น

159392318258

ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2561 เป็นต้นไป กองทุน กยศ. ได้รับประโยชน์จากกฎหมายไม่ต้องจัดงบประมาณแผ่นดินให้กองทุน เนื่องจากกองทุนฯ มีเงินหมุนเวียนที่เพียงพอ จากงบแสดงผลการดําเนินงานทางการเงินปี กองทุน กยศ. ปี พ.ศ. 2558 - 2562 สรุปโดยย่อดังนี้

รายได้ดอกเบี้ย เบี้ยปรับ และอื่น ๆ

- ปี 2558 จํานวน 5,731,591,895 บาทเศษ
- ปี 2559 จํานวน 6,770,487,577 บาทเศษ
- ปี 2560 จํานวน 6,754,431,545 บาทเศษ
- ปี 2561 จํานวน 6,813,277,956 บาทเศษ และ
- ปี 2562 จํานวน 7,425,358,756 บาทเศษ

ค่าใช้จ่ายของกองทุน

- ปี 2558 จํานวน 7,360,214,372 บาทเศษ
- ปี 2559 จํานวน 13,449,827,457 บาทเศษ
- ปี 2560 จํานวน 4,044,726,254 บาทเศษ
- ปี 2561 จํานวน 7,847,582,976 บาทเศษ และ
- ปี 2562 จํานวน 24,923,049,754 บาทเศษ

รายได้สูงกว่า/ตำ่กว่าค่าใช้จ่ายสุทธิ

- ปี 2558 รายได้ตำ่กว่าค่าใช้จ่าย จํานวน 1,628,622,477 บาทเศษ
- ปี 2559 รายได้ต่กว่าค่าใช้จ่าย จํานวน 6,679,339,880 บาทเศษ
- ปี 2560 รายได้สูงกว่าค่าใช้จ่าย จํานวน 10,799,157,799 บาทเศษ
- ปี 2561 รายได้ตำ่กว่าค่าใช้จ่าย จํานวน 1,034,305,019 บาทเศษ และ
- ปี 2562 รายได้สูงกว่าค่าใช้จ่าย จํานวน 32,348,408,511 บาทเศษ

หมายเหตุ

1. ปี 2560 มีการกลับรายการค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญลดลงจํานวน 10,573 ล้านบาทเศษ เป็นผลให้ค่าใช้จ่ายหนี้สงสัยจะสูญลดลงด้วยจํานวนดังกล่าว ค่าใช้จ่ายสุทธิรวมจึงมียอดจํานวน 4,044,726,254 บาทเศษ

2. ปี 2562 กองทุนได้มีการเปลี่ยนแปลงประมาณการหนี้สงสัยจะสูญ เป็นผลให้ค่าใช้จ่ายหนี้สงสัยจะสูญลดลงคงเหลือสุทธิ 28,001 ล้านบาทเศษ ค่าใช้จ่ายสุทธิรวมจึงมียอดจํานวน -24,923,049,754 บาทเศษ จากเหตุดังกล่าวมีผลทําให้งบแสดงผลการ ดําเนินงานทางการเงินสําหรับปี 2562 มีรายได้สูงกว่าค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจํานวน 25,562 ล้านบาทเศษ

ผู้กู้เงินจาก กยศ. มีระยะเวลาปลอดหนี้ไว้ 2 ปี โดยนับจากปีที่จบการศึกษาหรือเลิกศึกษา และเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาปลอดหนี้ผู้กู้ต้องผ่อนชําระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 15 ปี โดยต้องชําระหนี้ภายในวันที่ 5 กรกฎาคมของทุกปี ปัจจุบันนี้มีผู้กู้ที่ถูกดําเนินคดี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ถึงปี พ.ศ. 2562 จํานวน 1.5 ล้านราย ทําให้กองทุน กยศ ต้องใช้จ่ายเงินกองทุนว่าจ้างสํานักทนายความฟ้องและบังคับคดีกับผู้กู้ กยศ แยกเป็น

- ค่าใช้จ่ายในการดําเนินคดี คดีละ 5,500 บาท รวมเป็นเงินจํานวน 8,250 ล้านบาท

- ค่าบริหารจัดการคดีละประมาณ 1,200 บาท รวมเป็นจํานวนเงิน 1,800 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีจํานวนชั้นบังคับคดีกับผู้กู้ยืมเงินจํานวน 226,310 ราย โดยในชั้นบังคับคดีนี้มีค่าใช้จ่ายประมาณคดีละ 8,750 บาท รวมเป็นจํานวนเงินประมาณ 1,980 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม กับพบว่าได้มีการยึดทรัพย์ อายัดทรัพย์แล้ว จํานวนเพียง 59,642 คดี รวมเงินต้นประมาณ 6,815 ล้านบาทเศษ แต่กรมบังคับคดีได้ยึดทรัพย์และมีทรัพย์ขายทอดตลาดจริงเพียง จํานวน 2,657 คดี คิดเป็นจํานวนเงินที่ได้คืนมาจริงเพียง 218 ล้านบาทเท่านั้น เสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายมากมายขนาดนี้ แต่กลับได้เงินคืนมาเพียง เท่านี้ ถือว่า “ได้ไม่คุ้มเสีย”

ซ้ำร้าย มหันตภัยยังเกิดกับผู้กู้ยืมเงิน กยศ. ที่แพ้คดีแพ่ง นั่นก็คือ การ ถูกบังคับคดี ขายทอดตลาด ยึด อายัดทรัพย์” ในกรณีลูกหนี้ที่ไม่มีหลักค้ำประกัน หรือมีหลักทรัพย์ค้ำประกันหากไม่พอชําระหนี้ เจ้าหนี้ก็สามารถยึดทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้ได้อีกโดย เจ้าหนี้ อาศัยเจ้าพนักงานบังคับคดี ในการยึดทรัพย์สินที่ส่วนใหญ่เป็นที่ดิน หรือบ้าน บ่อยครั้งทรัพย์สินเหล่านี้มีมูลค่าเกินกว่าจํานวนหนี้ที่ลูกหนี้ติดอยู่มาก โดยเจ้าหนี้มักจะอ้างว่าลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สิน จึงจําเป็นต้องยึดบ้านยึดที่ดิน ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดี ก็ไม่อาจ ห้ามการยึดได้

การที่กองทุน กยศ. ได้จ่ายค่าจ้างสํานักทนายความในการติดตามทวงหนี้ ฟ้องคดี บังคับคดีและบริหารจัดการที่ใช้เงินกองทุนจํานวนมาก ทําให้ภกองทุน กยศ. ทําตัวเหมือนการทําธุรกิจที่ต้องการประโยชน์หรือมุ่งเน้นการสร้างกําไรจากการประกอบการ ทั้งที่ เป็นเงินในกองทุน กยศ.มาจากภาษีอากรของประชาชน การที่นักเรียน นักศึกษากู้เงิน กยศ. เพื่อไปใช้การศึกษาจึงควรจัดเป็นสิทธิและสวัสดิการของบุคคลทุกคน การใช้เงินกองทุนเป็นค่างจ้างฟ้องและบังคับคดีกับผู้กู้ กยศ.เป็นการแสดงถึงความไม่มีประสิทธิภาพในการทํางาน ทําให้เสียค่าใช้จ่ายโดยไม่จําเป็น

ทั้งนี้กองทุน กยศ. สามารถเลือกใช้วิธีอื่นที่ประหยัดเงินมากกว่า เช่น การขอให้สํานักงานอัยการสูงสุดดําเนิน การให้ ซึ่งสามารถกระทําได้ตาม พรบ.องค์กรอัยการฯ พ.ศ. 2553 มาตรา 14 (5) วิธีการนี้จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างทนายความ ให้ดําเนินคดีนับพันล้านบาท

การศึกษาถือเป็นสิทธิของบุคคลทุกคนที่รัฐต้องส่งเสริมสนับสนุน และมีความสําคัญสูงสุดในการพัฒนาคนทุกด้านทั้งความรู้ ความคิด จิตใจ และตัวตน การขัดเกลาเพื่อยกระดับความรู้ ความคิดและจิตใจอย่างสมบูรณ์ทําให้คนไม่ถูกความชั่วร้ายควบคุม และ ลากไปเหมือนสัตว์ที่ถูกเชือกลากไป การศึกษาจึงเป็นการพัฒนาและขัดเกลาคนที่ครอบคลุมในทุกด้านอย่างสมบูรณ์และเป็นสากลที่สามารถใช้ทุกเวลา สถานที่

การศึกษาจึงต้องเป็นหน้าที่ของรัฐที่มอบให้กับทุกคน แบบให้เปล่าเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ดังคํากล่าวที่ว่า “การศึกษา สร้างคน คนสร้างชาติ” จากวิกฤติการผลกระทบจากโควิด 19 สํานักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ "สศช" ได้ออกรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่งปี 2563 ระบุอัตราการวางงานเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 1.03 มีผู้ว่างงานเกือบ 4 แสนคน และคาดว่าในปีนี้มีแรงงานที่ เสี่ยงถูกเลิกจ้าง 8.4 ล้านคน ขณะที่เด็กจบใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงาน 5.2 แสนคนอาจไม่มีงานทํา ปรากฏการณ์ดังกล่าวย่อมส่งผลต่อ นักเรียน นักศึกษาที่กู้ยืมเงิน กยศ ที่จบใหม่จะหางานทําไม่ได้ จะได้รับความเดือดร้อนมากยิ่งขึ้นเป็นแน่

ข้อเสนอแนะ

ควรจะยกเลิกหนี้ที่ผู้กู้ที่ค้างหนี้ทั้งหมดโดยมีกระบวนการ หลักเกณฑ์ วิธีการและขั้นตอนอย่างเหมาะสม แล้วยกเครื่องปรับระบบ กยศ. ใหม่ โดยสภาผู้แทนราษฎรให้สอดคล้องกับการปฏิรูปการศึกษาในรัฐธรรมนูญ เน้นการกระจายอํานาจไปให้ สถานศึกษา ชุมชนท้องถิ่น และสภาผู้แทนราษฎรควรบูรณาการแก้ไข พรบ. กยศ. 2560 กับ พรบ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ. 2561 เสียใหม่ให้เหมาะเพื่อให้การศึกษาเป็นสิทธิที่ทุกคนต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐอย่างเสมอหน้าเท่าเทียม กัน เป็นสิทธิที่ทุกคนต้องได้การพัฒนาความรู้ บุคลิกภาพและความสํานึกอย่างมีศักดิ์ศรีอย่างบริบูรณ์ พันตํารวจเอกทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ