ผลสอบปมสนามมวยโควิด ทบ.ปลดกก.ยกทีม พบ '3 นายพล' เอี่ยวอมเบี้ยเลี้ยง

ผลสอบปมสนามมวยโควิด ทบ.ปลดกก.ยกทีม พบ '3 นายพล' เอี่ยวอมเบี้ยเลี้ยง

กองทัพบก สรุปผลสอบปม “สนามมวยลุมพินี” เป็นจุดแพร่ระบาดโควิด-19 บกพร่องควบคุมโรค ผบ.ทบ. สั่งปลดกรรมการสนามมวยยกชุด พร้อมทั้งตั้ง กก.สอบปมพบ “3 นายพล” เอี่ยวอมเบี้ยเลี้ยง-จัดอบรม ส่ง ป.ป.ช. ฟัน “อาญา-วินัย”

วานนี้ (4 มิ.ย.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ ผู้อำนวยการสำนักงานพระธรรมนูญทหารบก และคณะกรรมการตรวจสอบกรณีการจัดแข่งขันชกมวยจนเป็นจุดแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แถลงว่า ผลการตรวจสอบพบว่า มีความบกพร่องที่ไม่สามารถควบคุมการแพร่กระจายของโรคได้ตามที่ตนเองคิดว่า จะสามารถดำเนินการได้จริง ทำให้เกิดความเสียหาย

โดยเสนอให้มีการปลดคณะกรรมการสนามมวยทั้งหมด รวมถึงนายสนามมวย (เจ้ากรมสวัสดิการทหารบก ) โดย พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้ดำเนินการ เรื่องในการปรับย้าย ให้เจ้ากรมสวัสดิการทหารบกช่วยราชการแล้ว ตั้งแต่ช่วงที่เกิดเรื่องใหม่ๆ แต่ไม่ได้เปิดเผยผ่านสื่อ

ส่วนเรื่องร้องเรียน สายตรง ผบ.ทบ.นั้น ในจำนวน 600-700 กรณี ผบ.ทบ.ได้ดำเนินการไปมากแล้ว มีการลงโทษ ระดับผู้บังคับกองพันก็โดนหลายคน

ขณะที่ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนใหญ่เป็นเรื่องร้องเรียนของทหารชั้นผู้น้อย ต่อผู้ใหญ่ หรือ ผู้บังคับบัญชา ส่วนเรื่องทุจริตฯ ตนยังไม่มีข้อมูล แต่เชื่อว่าหลังจากนี้ ผบ.ทบ. คงจะให้ชี้แจงต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินการจากการร้องเรียนมาทาง สายตรง ผบ.ทบ.ค่อนข้างทำเร็ว ส่วนใหญ่มีการพิจารณาโทษแล้ว และ ผบ.ทบ.จะแก้ไขทันที

ตั้งกก.สอบ‘3 นายพล’ส่อทุจริต

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกันนี้ (4 มิ.ย.) พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก สั่งการให้ พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ ผู้อำนวยการสำนักงานกรมพระธรรมนูญทหารบก พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก แถลงถึงกรณี ส.อ.ณรงค์ชัย อินทรกวี สังกัดศูนย์ซ่อมสร้างสิ่งอุปกรณ์สายสรรพาวุธ กรมสรรพาวุธทหารบก ร้องเรียนถูกข่มขู่ จนต้องหนีราชการและอาจถูกปลดออกจากราชการ หลังร้องเรียนเรื่องทุจริตภายในหน่วยใน 5 ประเด็น

พ.อ.วินธัย ยืนยันว่า กองทัพบกมีนโยบายและให้ความสำคัญกับการให้ความเป็นธรรมต่อกำลังพลในทุกเรื่องทุกปัญหาเดือดร้อน โดยผ่านกลไกตามสายการบังคับบัญชา กฎระเบียบ และกฎหมาย กรณีดังกล่าวมีบางเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงและบางเหตุการณ์ถูกนำไปเชื่อมโยง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะ

แจง“5ประเด็น” ส.อ.ณรงค์ชัย

ประเด็นแรก ส.อ.ณรงค์ชัย ได้ใช้ช่องทางผ่านสายตรง ผบ.ทบ.ร้องขอความเป็นธรรมในเรื่องการถูกลงโทษโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม มิได้ใช้ระบบการร้องเรียนตามสายการบังคับบัญชา โดยมีลำดับเหตุการณ์ ดังนี้

เดือน ก.ย.62 เกิดกรณีพิพาทระหว่างผู้ร้องกับผู้บังคับบัญชา ต.ค.62 หน่วยต้นสังกัดตั้งกรรมการสอบ ผลสอบระบุกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร พิจารณาโทษจำขัง ระหว่าง 18 - 24 มี.ค.2563

12 มี.ค.63 ส.อ.ณรงค์ชัย ร้องเรียนผ่านสายตรง ผบ.ทบ.เรื่องการถูกลงโทษโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม ขอให้ระงับการสั่งขัง จากกรณีการผิดวินัยเมื่อ ก.ย.2562 / 13 มี.ค.63 ส.อ.ณรงค์ชัยฯ โทรมาสายตรง ผบ.ทบ.ขอยกเลิกการร้องเรียนเมื่อ 12 มี.ค.63 เนื่องจากศูนย์รับเรื่องร้องเรียนมีการประสานงานให้ เจ้าตัวเห็นถึงความจริงใจของ ทบ.ที่เรื่องร้องเรียนได้รับการช่วยเหลือ ทบ.ได้มีการตรวจสอบและให้หน่วยพิจารณาทบทวน ซึ่งต้นสังกัดยังคงผลการลงโทษตามเดิม เนื่องจากเป็นการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.วินัยทหาร

18 มี.ค.63 หนีราชการ / 19 มี.ค.63 ร้องเรียนผ่านสายตรง ผบ.ทบ.เรื่องการถูกลงโทษโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม 14 เม.ย.63 ร้องเรียนผ่านสายตรง ผบ.ทบ.เรื่องการถูกลงโทษโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม และเข้าร้องต่อคณะกรรมธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตสภาผู้แทนฯ / 27 เม.ย.63 ร้องเรียนต่อ กมธ.

พ.อ.วินธัย กล่าวต่อถึงประเด็นที่ 2 ว่า ทบ.ดำเนินการตรวจสอบโดยทันที เรื่องการทุจริตในศูนย์ซ่อมสร้าง โดยตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริง พบว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นจริง ผบ.ทบ.จึงมีคำสั่งให้ดำเนินการต่อไป โดยส่งเรื่องต่อไปให้ ป.ป.ช.พิจารณา ซึ่งหาก ป.ป.ช.รับเรื่องไว้ไต่สวนและคดีมีมูล

ในส่วนการวินิจฉัยจะมีผลทั้งทางคดีอาญาและทางวินัยต่อข้าราชการที่กระทำผิดต่อไป ทั้งนี้ยืนยันกองทัพบกไม่มีการปกป้องผู้ที่กระทำผิดต่อหน่วยงาน เพราะกองทัพบกก็ได้รับความเสียหายจากการทุจริตเช่นกัน

อมเบี้ยเลี้ยงโยง “3 นายพล”

ขณะที่ พล.ต.บุรินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเบิกเงินเบี้ยเลี้ยงเดินทาง การจัดอบรมยาเสพติด แต่ไม่ได้ดำเนินการจริงตามโครงการ ส่วนเม็ดเงินที่หายไปจะไปอยู่ที่ใครนั้น เป็นเรื่องรายละเอียดในสำนวนที่ส่งไปยัง ป.ป.ช.มีความเกี่ยวพันกับนายทหารชั้นยศนายพล 3 คน และมีผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติมด้วย

โดยแบ่งเป็น การเบิกเบี้ยเลี้ยงเดินทาง 4 ครั้ง รวมวงเงินกว่า 1 แสนบาท และโครงการอบรมยาเสพติด 2 ครั้ง รวมกว่า 1 แสนบาท โดยข้อมูลที่ ส.อ.ณรงค์ นำมาร้องเป็นเอกสารที่นำมาจากหน่วย ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้นำมาตรวจสอบและเข้าไปหาพยาน หลักฐาน สอบรายละเอียดเป๊ะทุกหน้า พร้อมทั้งเชิญ ส.อ.ณรงค์ชัย มาสอบสวนเพิ่มเติมด้วย สำหรับบทลงโทษหากผลการพิจารณาของ ป.ป.ช.พบว่าผิดจริงนั้น ต้องอยู่ที่ ป.ป.ช.พิจารณา ซึ่งถ้าเป็นจริงก็เป็นคดีอาญา และก็จะมีความผิดทางวินัยด้วย

พ.อ.วินธัย ระบุถึง ประเด็นที่ 3 ส.อ.ณรงค์ชัย ถูกดำเนินคดีเพราะขาดราชการ มิใช่จากการร้องเรียน สืบเนื่องจาก ส.อ.ณรงค์ชัย มีข้อพิพาทกับผู้บังคับบัญชาเรื่องความประพฤติและกระทำผิดวินัยโดยไม่รักษาระเบียบการเคารพระหว่างผู้ใหญ่ผู้น้อย ใช้กิริยาวาจาไม่สมควรต่อผู้บังคับบัญชา ตาม พ.ร.บ.วินัยทหาร มาตรา 2(5) , 2(7) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อช่วงเดือน ก.ย.62

ผิดหนีทหาร-ไม่ใช่ปมร้องทุจริต

โดยทางหน่วยต้นสังกัดได้มีการดำเนินการตามระเบียบ ด้วยการตั้งคณะกรรมการสอบสวน และมีมติพิจารณาโทษกำหนดจำขัง 7 วัน ตั้งแต่ 18 - 24 มี.ค.63 แต่มีการหลบเลี่ยง นำไปสู่การหนีราชการ ตั้งแต่ 18 มี.ค.63 จนถึงปัจจุบันแต่ในกระบวนการทางคดีอาญา ศาลทหารจะพิจารณาต่อไป

ดังนั้น จากข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงชี้ให้เห็นได้ว่า ส.อ.ณรงค์ชัย ได้ถูกดำเนินคดีจากฐานความผิดเรื่องหนีราชการ มิใช่จากการที่ไปร้องเรียนการทุจริตในหน่วยงาน

โฆษก ทบ.ระบุถึง ประเด็นที่ 4 ส.อ.ณรงค์ชัย ผู้ร้องอ้างว่าถูกข่มขู่ หากมีหลักฐานองค์ประกอบหรือถูกกระทำก็สามารถแจ้งความต่อตำรวจ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายบ้านเมืองปกติได้ น่าจะเหมาะสมที่สุด ในส่วนของ ทบ.พร้อมให้ความร่วมมือในทางคดีตามความเป็นจริง

ส่วนกรณีคลิป ฝ่ายสำนักงานพระธรรมนูญ ทบ.ได้พิจารณาแล้ว เป็นการอบรม และขอขมากัน ในประเด็นผิดวินัยระหว่างผู้ใหญ่ผู้น้อย เมื่อ ก.ย.62 และ ในบทสนทนาไม่ใช่เรื่องคดีเรื่องการทุจริต รวมถึงไม่มีลักษณะการขู่อาฆาต

ส่วน ประเด็นที่ 5 ผบ.ทบ.ไม่ได้สั่งการให้มีการดำเนินคดี ส.อ.ณรงค์ชัย แต่เป็นการดำเนินการตามสายการบังคับบัญชาของหน่วยต้นสังกัด ส่วนที่บางบุคคลเข้าใจว่า ผบ.ทบ.ทราบเรื่องข่าวการทุจริตแล้ว ยังสั่งให้มีการดำเนินคดีกับ ส.อ.ณรงค์ชัย ฐานหนีราชการ ทั้งที่เป็นคนนำเรื่องมาเปิดเผย ทบ.นั้น ความเข้าใจดังกล่าวอาจอยู่บนพื้นฐานของการมีข้อมูลไม่ครบถ้วน

ในข้อเท็จจริง ผบ.ทบ.ไม่ได้มีการสั่งการเกี่ยวกับการดำเนินคดีต่อกำลังพลดังกล่าว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการดำเนินการตามสายการบังคับบัญชาของหน่วยต้นสังกัด