ดัชนีพุ่งแรง ‘เซียนหุ้น’ ตกรถ ‘นิเวศน์-เสี่ยป๋อง’ ยอมรับพลาดขบวนนี้

ดัชนีพุ่งแรง ‘เซียนหุ้น’ ตกรถ ‘นิเวศน์-เสี่ยป๋อง’ ยอมรับพลาดขบวนนี้

“หุ้นไทย” เด้งแรงกว่า 38% จากระดับต่ำสุด ส่งผล “เซียนหุ้น” ตกขบวนเพียบ “นิเวศน์” ยอมรับพลาดขบวนรถเที่ยวนี้ เหตุดัชนีพุ่งแรงเกินคาด สวนทางภาวะเศรษฐกิจ รอเข้าซื้อจังหวะหุ้นพักฐาน ด้าน “เสี่ยป๋อง” ชี้ดัชนีพุ่งแรงสวนทางพื้นฐานหุ้น

นายนิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้นและผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนแนวเน้นคุณค่า (VI) ยอมรับว่า ตกขบวนรถในรอบนี้ เพราะเงินสดที่กันไว้ราว 10% ของพอร์ตยังไม่ได้เข้าลงทุนในหุ้นซักตัว โดยเขายอมรับว่า ดัชนีหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมาปรับตัวดีขึ้นเกินความคาดหมาย 

“ช่วง1-2 เดือนที่ผ่านมาดัชนีฯเด้งขึ้นค่อนข้างเร็ว สวนทางกับวิกฤติและภาวะเศรษฐกิจที่ยังดูมืดมน ผมเชื่อว่าประเทศไทยจะถูกผลกระทบหนักกว่าประเทศอื่นๆรอบบ้าน เพราะพึ่งพิงการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นหลัก ซึ่งยังไม่เห็นวี่แววว่า เศรษฐกิจจะฟื้นตัวในระยะอันใกล้”

นายนิเวศน์ กล่าวว่า การปรับขึ้นของดัชนีหุ้นไทยในรอบนี้ เชื่อว่าเกิดจากแรงซื้อของนักลงทุนรายย่อยที่กลับเข้ามาลงทุน บวกกับเงินลงทุนของนักลงทุนสถาบันที่ยังมีกระสุนเหลือจำนวนมาก ซึ่งไม่มีทางเลือกสำหรับการลงทุนในประเทศมากนัก จึงมองว่าผลตอบแทนที่ได้จากตลาดหุ้นยังดูสูงกว่าเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ โดยเฉพาะเงินฝากที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลงในระดับต่ำ จึงเห็นสัญญาณการโยกเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจำนวนมาก

ส่วนทิศทางการลงทุนหลังจากนี้คาดว่ายังต้องจับตาว่า ดัชนีหุ้นไทยจะยืนได้อยู่หรือไม่ เนื่องจากหากมีการประกาศงบไตรมาส2/2563 ออกมาเชื่อว่าจะเป็นตัวชี้ขาดว่าผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จะมีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นราคาหุ้นบางตัวอาจอยู่ในระดับที่แพงเกินไปอีก เพราะกำไรของบจ.ที่ตกลงหนักและอาจทำให้นักลงทุนตื่นตกใจได้

“ยอมรับผมพลาดรอบนี้ แต่ไม่เป็นไร เพราะยังมีหุ้นที่เน้นลงทุนระยะยาวอยู่ในพอร์ตสัดส่วนราว 90% และมีเงินสดที่ถืออยู่สัดส่วน 10% ซึ่งรอจังหวะเข้าอยู่หากตลาดเกิดภาวะพักฐานรอบใหม่”

นายนิเวศน์ กล่าวด้วยว่า พอร์ตการลงทุนของตนเองในหุ้นไทยปีนี้ถือว่ายังเจ็บตัวอยู่ เพราะพอร์ตโดยรวมยังติดลบ แต่ไม่มากนักแค่ตัวเลขหลักเดียว ซึ่งหลังจากนี้ยังไม่เปลี่ยนกลยุทธ์อะไร ขอรอจังหวะในช่วงประกาศงบไตรมาส 2 ปี 2563 ก่อน ซึ่งเชื่อว่ามีโอกาสเกิดการปรับฐานแรงๆอยู่ 

นอกจากนี้กลยุทธ์การลงทุนในปัจจุบันแนะนำให้เลือกหุ้นที่มีพื้นฐานรองรับและมั่นใจว่าสามารถถือระยะยาวได้ ซึ่งในส่วนของหุ้นขนาดใหญ่หรือกลุ่มสถาบันการเงินราคาก็ปรับตัวลดลงมามากกว่าตลาด โดยบางตัวน่าจะพอรับไหว ขณะที่หุ้นในกลุ่มอสังหาฯบางตัวก็เริ่มน่าสนใจในการเข้าลงทุน เพราะราคาค่อนข้างถูกและมีการประคองตัวได้แม้จะถูกแรงกดดันมานานแล้ว

ด้านนายวัชระ แก้วสว่าง (เสี่ยป๋อง) นักลงทุนรายใหญ่ เป็นนักลงทุนอีกคนที่ยอมรับว่าตกขบวนรถในรอบนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาประเมินผิดพลาด เพราะคิดว่าหุ้นจะเด้งแค่ช่วงสั้นๆ ไม่คิดว่าตลาดจะเคลื่อนไหวผิดปกติแบบนี้ โดยยอมรับว่าเป็นเพราะตนเองระมัดระวังการลงทุนเกินไปจนไม่กล้าเข้าไปเสี่ยง ซึ่งแตกต่างจากเดิมที่มักใช้สัญญาณทางเทคนิคในการลงทุน แต่รอบนี้กลับดูปัจจัยพื้นฐานเป็นหลักแทนจนทำให้พลาดการเข้าลงทุน

“รอบนี้กลัวเกินไปจนตกรถ เพราะเน้นถือเงินสดยังเยอะอยู่ จึงทำให้เสียโอกาสไปมากในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเชื่อว่าทุกรอบที่มีวิกฤติหุ้นจะไม่เด้งเร็วแบบนี้ แต่ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยเด้งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ซึ่งมันเป็นอะไรที่เราต้องเรียนรู้”

ทั้งนี้มองว่าตอนนี้นักลงทุนหลายคนมองข้ามแรงกดดันจากสถานการณ์โควิด-19 ไปล่วงหน้ามากแล้ว ประกอบกับมีอานิสงส์จากภาวะดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำและสภาพคล่องโลกที่ล้นจำนวนมาก จึงส่งผลให้มีเม็ดเงินโยกเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น ซึ่งบางคนถึงขนาดประเมินว่าตลาดหุ้นไทยรอบนี้อาจไปจบที่บริเวณ 1,400-1,600 จุดก็เป็นไปได้

นายวัชระ กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนหลังจากนี้ คงต้องรอจังหวะ อาจเข้าไปซื้อบ้างเล็กน้อยโดยใช้สัญญาณทางเทคนิครายตัว แต่ก็ต้องเพิ่มความระมัดระวัง เพราะช่วงที่ผ่านมาดัชนีฯก็ปรับตัวขึ้นเกือบ 400 จุด เลยไม่กล้าเข้าไปต่อแล้ว ตอนนี้ทำได้เพียงรอจังหวะตลาดย่อลงก่อน

นายอนุรักษ์ บุญแสวง หรือ “โจ ลูกอีสาน” นักลงทุนรายใหญ่สาย VI กล่าวว่า รอบที่ผ่านมาถือว่าขึ้นรถได้ทัน เนื่องจากได้เข้าไปลงทุนแถวดัชนีฯบริเวณ 1,000 จุดต้นๆ ซึ่งยอมรับว่าตนเองโชคดีที่เข้าไปช่วงที่อารมณ์ตลาดยังอยู่ในภาวะแพนิกอยู่ จึงเห็นโอกาสหุ้นบางตัวโดนบังคับขาย (ฟอร์ซเซล) จนราคาต่ำกว่าพื้นฐานค่อนข้างมากเลยเข้าไปซื้อเก็บไว้ ประกอบกับช่วงที่ผ่านมามีกระแสสลับเข้ามาเก็งกำไรในหุ้นขนาดเล็กกันจำนวนมาก จึงเป็นจังหวะปล่อยหุ้นเล็กที่ติดอยู่ในพอร์ตออกไป 

ทั้งนี้มองว่าทิศทางตลาดน่าจะมีลักษณะไซด์เวย์แบบนี้ไปอีกในช่วง 3 เดือนข้างหน้า และช่วงปลายปีมีโอกาสกลับไปที่ระดับ 1,500 จุดได้ ซึ่งในส่วนของช่วงประกาศงบไตรมาส 2 ที่หลายคนมองว่าอาจกดดันให้ดัชนีฯลดลงเชื่อว่าคงไม่มากหรือราว 10% เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่รับรู้ไปล่วงหน้าแล้วและหากงบบางบริษัทออกมาดีกว่าที่คาดก็อาจช่วยหนุนให้ตลาดฟื้นตัวได้เร็วขึ้น 

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะนำเลือกซื้อหุ้นรายตัวที่คาดว่าธุรกิจจะไม่ล้มหาย หรือหุ้นที่ระดับพีอียังค่อนข้างต่ำ รวมถึงทิศทางกำไรที่ไม่ปรับตัวลดลงมากนัก อาทิ กลุ่ม ธนาคารพาณิชย์และลิสซิ่ง

“โชคดีที่รอบนี้ขึ้นรถได้ทัน แต่หากเทียบกับขาลงในช่วงที่ผ่านมาก็เสียหายเยอะเหมือนกัน จึงทำให้พอร์ตโดยรวมตอนนี้ถือว่าใกล้เคียงกับตลาดหรือดีกว่าเล็กน้อย อย่างไรก็ตามหุ้นไทยตอนนี้ราคาอาจดูแพงไปบ้าง แต่หากคิดว่าผลประกอบการจะกลับมาเป็นปกติได้ ราคาหุ้นก็อาจยังมีโอกาสไปต่อได้”