'ละตินอเมริกา' ศูนย์กลางใหม่ 'โควิด-19'

'ละตินอเมริกา' ศูนย์กลางใหม่ 'โควิด-19'

นับตั้งแต่พบผู้ป่วยโควิด-19 รายแรกที่เมืองอู่ฮั่นของจีน จำนวนก็เพิ่มขึ้นไม่หยุด ตัวเลข ณ 22 พ.ค. ทะลุ 5 ล้านคนแล้ว ขณะที่ศูนย์กลางการแพร่ระบาดย้ายไปเรื่อย ๆ จากที่เคยสูงสุดในจีนเมื่อเดือน ก.พ. ย้ายไปเกาหลีใต้ อิหร่าน ยุโรป คราวนี้ถึงคิวละตินอเมริกา

ละตินอเมริกาแซงหน้าสหรัฐและยุโรปในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นสูงสุดจากทั่วโลก 

สถานการณ์ในละตินอเมริกาสะท้อนถึงการแพร่ระบาดเฟสใหม่ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ในภูมิภาคนี้ส่วนใหญ่มาจากบราซิล ที่เมื่อเร็วๆ นี้เพิ่งแซงหน้าเยอรมนี ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร กลายเป็นประเทศระบาดหนักสุดอันดับ 3 ของโลกรองจากสหรัฐและรัสเซีย ขณะที่ผู้ติดเชื้อใหม่รายวันของบราซิลเพิ่มขึ้นเป็นที่ 2 รองจากสหรัฐเท่านั้น

สำนักข่าวรอยเตอร์รวบรวมตัวเลขพบว่า ผู้ติดเชื้อ 41 คนแรกได้รับการยืนยันในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน เมื่อวันที่ 10 ม.ค.ทะลุหลัก 1 ล้านคนแรกเมื่อวันที่ 1 เม.ย. ตั้งแต่นั้นมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ราว 1 ล้านคนในทุก 2 สัปดาห์

ขณะนี้ที่ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรโนาอยู่กว่า 5 ล้านคนภายในเวลาไม่ถึง 6 เดือน มากเสียยิ่งกว่าผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ทั้งปี องค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) ประเมินว่า ทั่วโลกมีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ปีละ 3-5 ล้านคน

ส่วนผู้เสียชีวิตจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาอยู่ที่กว่า 326,000 ล้านคน แต่ตัวเลขจริงเชื่อว่าสูงกว่านี้ เนื่องจากบางประเทศตรวจหาเชื้อจำกัด และหลายประเทศไม่นับยอดผู้เสียชีีวิตนอกโรงพยาบาล ในจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมดอยู่ในยุโรปกว่าครึ่ง

สำหรับสถานการณ์ในบราซิล กระทรวงสาธารณสุขรายงานเมื่อวันพฤหัสบดี (21 พ.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น วันเดียวมีผู้เสียชีวิต 1,188 คน นับเป็นยอดเสียชีวิตรายวันสูงสุดเป็นสถิติใหม่ และผู้ติดเชื้อใหม่กว่า 17,000 คน ยอดรวมเสียชีวิตในประเทศทะลุ 20,000 คน และติดเชื้อกว่า 310,000 คน

เมื่อวันจันทร์ (18 พ.ค.) บราซิลเพิ่งแซงอังกฤษขึ้นมาเป็นประเทศมีผู้ติดเชื้อมากเป็นอันดับ 3 ของโลก วันถัดมามีผู้เสียชีวิตรายวัน 1,179 คน ประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนารู ถูกวิจารณ์อย่างหนักเรื่องการจัดการการแพร่ระบาดผิดพลาด อดีตร้อยเอกผู้มีแนวคิดขวาจัดรายนี้เมินมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคมมาโดยตลอด แถมยังเรียกร้องให้เปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง

ไม่เพียงเท่านั้นโบลโซนารูยังทุ่มสุดตัว หนุนการใช้ยาคลอโรควินที่ใช้รักษามาลาเรียมารักษาโควิด-19 ไม่สนเสียงเตือนจากผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข เมื่อวันพุธกระทรวงสาธารณสุขบราซิลออกคู่มือฉบับใหม่ เพื่อการใช้ยาต้านมาลาเรียนรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในรายที่มีอาการเพียงเล็กน้อย

พลตรีเอดัวร์โด ปาซูเอลโล ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งให้มารักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้เห็นชอบให้ปรับระเบียบ หลังจากเจ้ากระทรวง 2 คน ซึ่งเป็นแพทย์ทั้งคู่ต้องลาออกไป เพราะเจอแรงกดดันให้ส่งเสริมการใช้คลอโรควินและไฮดรอกซีคลอโรควินมารักษาโควิด-19 โดยยังไม่มีผลการศึกษามากพอ

“เราอยู่ในสงคราม ถ้าไม่สู้ย่อมเป็นความอัปยศยิ่งกว่าสู้แล้วแพ้” ผู้นำบราซิลทวีตข้อความชี้แจงการตัดสินใจของรัฐบาล ที่เดินหน้าใช้ยารักษามาลาเรียทั้งๆ ที่ยังไม่ได้พิสูจน์ถึงประสิทธิผล

ขณะที่กอนซาโล เวซินา นีโต อดีตผู้อำนวยการ “แอนวิซา” หรือองค์การเภสัชกรรมบราซิล เรียกมาตรการใหม่ว่า “ป่าเถื่อน” อาจสร้างอันตรายให้ประชาชนมากกว่าก่อประโยชน์ เพราะการใช้ยารักษามาลาเรียอาจเกิดผลข้างเคียง

“ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยัน ไม่น่าเชื่อเลยว่านี่ยุคศตวรรษที่ 21 แล้ว แต่พวกเรายังต้องอยู่กับวิธีคิดแบบเชื่อในมนตร์วิเศษกันอีก”

ความน่ากลัวของการแพร่ระบาดในบราซิลนั้น เซบาสเตีย ซัลกาโด ช่างภาพระดับตำนานเตือนว่า ถ้ารัฐบาลไม่ปกป้องชนเผ่าพื้นเมืองในอะเมซอน พวกเขาต้องถูกไวรัสฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างแน่นอน

ความร้ายแรงส่วนหนึ่งมาจากผู้นำขวาจัดของบราซิลด้วย ที่มองว่าไวรัสเป็นแค่ไข้หวัดเล็กๆ น้อยๆ โบลโซนารูถูกกล่าวหามาโดยตลอดว่าสนับสนุนให้คนตัดไม้และเกษตรกรรุกพื้นที่สำรองของชนพื้นเมือง ยกเลิกหน่วยงานรัฐบาลที่ตั้งขึ้นมาดูแลคนกลุ่มนี้

“อะเมซอนเสี่ยงเกิดหายนะมาก ทั้งคนงานเหมืองทอง คนงานป่าไม้ เกษตรกร กลุ่มศาสนาต่างรุกเข้าไปในพื้นที่ชนพื้นเมือง เสี่ยงที่จะเอาไวรัสโคโรนาไปติดเพราะพวกเขาไม่มีแอนติบอดี”

รายงานหลายชิ้นประเมินว่า 90% ของชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกาเสียชีวิตจากเชื้อโรคหลังจากชาวยุโรปชุดแรกๆ เข้าไปในพื้นที่

ซัลกาโดจึงเปิดเข้าชื่อเรียกร้องให้ปกป้องชาวป่าอะเมซอน มีผู้สนับสนุนถึงเกือบ 2.5 แสนคน รวมทั้งคนดังอย่างมาดอนนา, โอปราห์ วินฟรีย์ และแบรด พิตต์ ช่างภาพชื่อดังย้ำว่า การเตือนเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยไวรัสไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยสักนิด