เก็งกำไรยุคดอกเบี้ยขาลง ‘ลีสซิ่ง-โรงไฟฟ้า’ ดาวเด่น

เก็งกำไรยุคดอกเบี้ยขาลง ‘ลีสซิ่ง-โรงไฟฟ้า’ ดาวเด่น

การระบาดของโควิด-19 กลายเป็นปัจจัยหลักที่ฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปีนี้ และผลกระทบดูจะรุนแรงกว่าทุกวิกฤตที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะเป็นโรคอุบัติใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จึงยังไม่มียารักษาโดยตรง ไม่มีวัคซีนป้องกัน

ที่สำคัญส่งผลกระทบไม่ทุกหน่วยธุรกิจ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่อุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งเท่านั้น และแน่นอนว่าเมื่อทั้งโลกติดโควิด-19 หลายประเทศประกาศ “ล็อกดาวน์” เพื่อควบคุมและยับยั้งการแพร่ระบาด ทำให้กิจการทางเศรษฐกิจแทบทุกอย่างหยุดชะงักไปโดยปริยาย

โดยขณะนี้สัญญาณถดถอยทางเศรษฐกิจได้เกิดขึ้นแล้ว รัฐบาลประเทศต่างๆ จึงพยายามเร่งเดินหน้าออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือประชาชน ช่วยเหลือภาคธุรกิจที่กำลังเดือดร้อนหนัก ทั้งการอัดฉีดเงินผ่านนโยบายการคลัง เติมเงินลงไปเพื่อนำไปใช้จ่าย เติมสภาพคล่องให้ธุรกิจไม่หยุดชะงัก

รวมทั้ง นโยบายการเงินที่ต้องทำคู่ขนานกันไป จึงได้เห็นธนาคารกลางประเทศต่างๆ ทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกันกับบ้านเรา ประตู “ดอกเบี้ยขาลง” ถูกเปิดออกอย่างเต็มบาน

โดยปีนี้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยิงกระสุนลดดอกเบี้ยไปแล้วถึง 3 ครั้ง ลงมาอยู่ที่ระดับ 0.50% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ หลังเศรษฐกิจไทยหดตัวต่ำกว่าคาด จากการระบาดของโควิด-19 จึงจำเป็นต้องดำเนินนโยบายที่ผ่อนคลายมากขึ้น

“ยุคดอกเบี้ยขาลง” คงจะอยู่ไปอีกนาน จนกว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัว ดังนั้น การลงทุนที่ล้อไปกับอัตราดอกเบี้ยขาลงดูน่าสนใจ เนื่องจากยังมีความเป็นไปได้ที่แบงก์ชาติจะหั่นดอกเบี้ยลงอีก ถ้าตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2 ปี 2563 ซึ่งได้รับผลกระทบเต็มๆ จากโควิดออกมาต่ำกว่าคาด หรือ ร้ายกว่านั้นหากเกิดการระบาดรอบใหม่ขึ้น

สำหรับหุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง เริ่มจากกลุ่มสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (นอนแบงก์) อย่างกลุ่มเช่าซื้อ ลีสซิ่ง เนื่องจากต้นทุนการเงินที่บริษัทไปกู้แบงก์ มาปล่อยให้กับลูกหนี้ลดลงตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยรับที่เก็บจากลูกค้าส่วนใหญ่เป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate) ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น

กลุ่มนี้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังแนะนำตัวหลักๆ บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC และบริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ที่ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2563 เติบโตดี อย่าง MTC กำไรสุทธิสามารถทำนิวไฮได้อีกครั้ง

ส่วนแนวโน้มไตรมาส 2 ปี 2563 แม้จะชะลอตัวลงจากผลกระทบของโควิด-19 แต่จะเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากเริ่มมีการผ่อนคลายล็อกดาวน์ หลายธุรกิจเริ่มกลับมาเปิดให้บริการ โรงเรียนจะกลับมาเปิดเทอม และยังเข้าสู่ช่วงเริ่มต้นฤดูกาลเพาะปลูก หนุนความต้องการใช้สินเชื่อเร่งตัวขึ้น

ลุ่มอสังหาริมทรัพย์ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อและลดภาระผ่อนชำระผู้กู้ซื้อบ้าน ช่วยเร่งยอดขายระบายสต็อกให้กับผู้ประกอบการ หลังตลาดซบเซามา 2 ปีติดต่อกัน หุ้นเด่นๆ โฟกัสไปที่บริษัทที่เน้นโครงการแนวราบซึ่งยังมีดีมานด์มากกว่าตลาดคอนโดมิเนียม

หลายโบรกฯ เชียร์ซื้อไปที่บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH ซึ่งเป็นผู้นำในกลุ่มตลาดบน และฐานะการเงินแข็งแกร่ง แม้กำไรไตรมาส 1 จะชะลอตัวลง แต่ภาพรวมออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด แถมยังปันผลแจ่ม ! ทำให้ดูมีภาษีกว่าเพื่อนๆ ในกลุ่ม

ส่วนกลุ่มโรงไฟฟ้า นอกจากจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจน้อยกว่ากลุ่มอื่นๆ แล้ว เนื่องจากมีรายได้ที่แน่นอนตามสัญญาซื้อขายไฟ ช่วงนี้ยังได้ประโยชน์จากเงินบาทที่กลับมาแข็งค่า หนุนมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และยังได้อานิสงส์จากการลดดอกเบี้ยส่งผลให้ต้นทุนเงินกู้ลดลง

หุ้นยอดฮิตประจำกลุ่มหนีไม่พ้น พี่ใหญ่บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ล่าสุดพึ่งมีข่าวดีเข้ามาอีก หลังได้ไลไซนส์นำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าของกลุ่มบริษัท

และที่ห้ามพลาดเลย ! กลุ่มหุ้นปันผล ซึ่งความน่าสนใจจะเพิ่มขึ้นทันทีหลังลดดอกเบี้ย เพราะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเมื่อเทียบเงินฝากที่ได้ดอกเบี้ยไม่เต็มบาท อย่างหุ้นแม่ลูกบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH และ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลต่อปีไม่ต่ำกว่า 3-4% และต้องห้ามลืมบรรดากองทุน ที่แนะนำกันเยอะ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล หรือ DIF คาดปีนี้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลไม่น่าต่ำกว่า 8%