มีความคืบหน้าวัคซีนต้านโควิด-19

มีความคืบหน้าวัคซีนต้านโควิด-19

ดัชนีวานนี้ปิดปรับตัวบวก 5 จุด คล้ายกับตลาดหุ้นภูมิภาคที่ส่วนใหญ่อยู่ในแดนบวก หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในหลายประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น

ประกอบกับการเผย GDP ใน 1Q63 หดตัวเพียง 1.8% (น้อยกว่าที่คาด) นอกจากนี้ ดัชนียังได้แรงหนุนจากกลุ่ม ENERG ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัว ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดที่ 1,286.53 จุด (+5.77 จุด) Volume 5.6 หมื่นลบ. ต่างชาติ -2,074.79 ลบ. TFEX Net -2,258 สัญญา ตราสารหนี้ -2,652 ลบ.

ปัจจัยบวก / ปัจจัยลบ

+ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก 911.95 จุด +3.85% โดยได้ปัจจัยบวกจากข่าวความคืบหน้าในการผลิตวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 และจากการที่นายเจอโรมพาวเวลประธานเฟดเชื่อมั่นต่อแนวโน้มศก.สหรัฐ และแรงหนุนจากปท.ต่างๆเริ่มคลายมาตรการล็อกดาวน์

+ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดบวก 2.39 ดอลลาร์ +8.1% ปิดที่ 31.82 ดอลลาร์/บาร์เรลขานรับความหวังว่าความต้องการใช้น้ำมันจะฟื้นตัวหลังจากประเทศต่างๆ เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์

-สหรัฐเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านฟื้นตัว หลังทรุดหนักในเดือนเม.ย.

-สภาพัฒน์รายงาน GDP Q1/63 หดตัว -1.8% คาดทั้งปี -6% ถึง -5% ตามภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัว

+/-ธปท.เผย Q1/63 สินเชื่อแบงก์พาณิชย์โต 4.1% ตามดีมานด์สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ NPL ขยับขึ้นรับมาตรฐานบัญชีใหม่

+ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตบวก 6.96 จุด +0.24% เช้านี้เปิด +22.27 จุด

+ดัชนีนิกเกอิปิดบวก 96.26 จุด +0.48% เช้านี้เปิด +335.79 จุด

-Fund Flow ต่างชาติมีสถานะขาย YTD 1.86 แสนลบ. ค่าเงินบาท 32.01 บาท/US

 

*จับตาการประชุมครม. ส่วนสหรัฐเผยดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนพ.ค.ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนเม.ย. และ EU เผยความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจเดือนพ.ค.

 

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย

คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นตามทิศทางตลาดต่างประเทศ หลังมีข่าวความคืบหน้าในการผลิตวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 จาก Moderna Inc ซึ่งเป็นบริษัทในธุรกิจไบโอเทคของสหรัฐ และจากการที่ประธานเฟด ได้แสดงความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ ประกอบกับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวขึ้นแรงต่อเนื่อง คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,280-1,307 จุด

 

หุ้นรายงานพิเศษ

PTG (Bloomberg Consensus 14.83 บาท) รายงานกำไร 1Q63 เท่ากับ 204 ลบ. -60.6%YoY -43.2%QoQ โดยมีรายได้เท่ากับ 2.9 หมื่นลบ +1.6%YoY -6.2%QoQ แม้ปริมาณขายจะเพิ่มขึ้น 9.7%YoY มาที่ระดับ 1,217 ล้านลิตร อย่างไรก็ดี ราคาขายปรับตัวลง 7.9%YoY -4.6%QoQ ขณะที่ %GPM ปรับลดลงมาที่ระดับ 7.7% จากปีก่อนอยู่ที่ระดับ 8.9% เนื่องจากราคาต้นทุนปรับลงไม่ทันตามราคาขาย ประกอบกับได้รับผลกระทบจากการปรับเกณฑ์ TFRS16 เรื่องสัญญาเช่าทำให้ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น

 

แนวโน้มทั้งปี 63 ผบห.คาดปริมาณขายยังคงเติบโตราว 10-12%YoY ที่ปรับลดจากเดิม 15-20%YoY พร้อมคาด Marketing Margin เฉลี่ยสูงกว่าปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ธุรกิจปาล์มคอมเพล็กซ์ ซึ่งมีกำลังการผลิตไบโอดีเซล B100 ที่ระดับ 5 แสนลิตรต่อวันดำเนินงานเต็มกำลังในช่วงที่เหลือของปี โดยบริษัทคาดจะรับรู้ส่วนแบ่ง 40% จากเป้ายอดขายในธุรกิจดังกล่าวที่ 700 ลบ. ขณะที่ผลกระทบ TFRS16 ทั้งปีคาดว่าจะอยู่ที่ราว 160-180 ลบ. และคาด EBITDA โตราว 10-12%YoY (ปรับลดจากเดิมคาดเติบโต 15-20%YoY)

 

ความเห็น ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกต่อปัจจัยพื้นฐานระยะยาวมีโอกาสเติบโตจากการมีสถานีบริการมากเป็นอันดับ 2 รองจากปตท. และธุรกิจ non-oil ที่คาดจะมีสัดส่วนสูงขึ้นช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมัน

 

กลยุทธ์การลงทุน

  • หุ้นที่จะเข้าคำนวณ MSCI Global Standard (AWC BAM KTC) มีผล 29 พ.ค. 
  • หุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการผ่อนปรน ระยะที่ 2 (HMPRO DOHOME COM7 AU M)
  • หุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2 ดี (WICE TASCO CPF)

หุ้นมีข่าว   

·         SAWAD Conference Call (IAA Consensus 61 บาท) แจ้ง 1Q63 มีกำไรสุทธิ 1,033 ล้านบาท  +22.5%YoY จากพอร์ตลูกหนี้ที่เพิ่มขึ้น 18% ตามการขยายสาขาที่ปลายมี.ค.63 มี 4,150 สาขาเพิ่มจาก 4,080 สาขา ณ ปลายปี 62 ส่งผลให้มีรายได้ดอกเบี้ย 428 ล้านบาท +26%YoY เมื่อเทียบกับ NPL ที่ระดับเดิมแต่การใช้มาตรฐานบัญชี TFRS9 ส่งผลให้ %NPL ต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นสู่ 4.99% เทียบกับ 3.82% หากใช้มาตรฐานเดิมเนื่องจากการตัดหนี้สูญที่เข้มกว่าเดิม ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 194 ล้านบาทเทียบกับ 140 ล้านบาทหากใช้มาตรฐานเดิม ส่วนมาตรฐานบัญชี TFRS16 เรื่องสัญญาเช่าทำให้ต้นทุนการเงินเพิ่มขึ้น

·         ปัจจุบันบริษัทมีรายได้อื่นจากการขายประกันเป็นหลักแต่ในไตรมาสแรกยังทำได้ไม่ถึงเป้า ซึ่งเป็นปกติของฤดูกาลที่ครึ่งปีหลังมีรายได้ประกันมากกว่าครึ่งปีแรก  ทั้งนี้บริษัทเลื่อนจัดประชุมผู้ถือหุ้นโดยไม่มีกำหนดและได้ยกเลิกการจ่ายเงินปันผลและวัน XD เพื่อไม่กระทบสิทธิการแปลงสิทธิ SAWAD-W1

·         ความเห็น ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกจากศักยภาพในการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อและรายได้ในอนาคต โดยคาดจะเห็นผลประกอบการครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรก ราคาหุ้นล่าสุดลดลง 22%YTD และประเมินว่าได้ประโยชน์หากในอนาคตมีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

·         SYNEX Analyst meeting (ถือ Bloomberg Consensus 7.32)

·         -ผลประกอบการ 1Q63 อยู่ที่ 132 ลบ. -28%YoY แต่ +4%QoQ รายได้ปรับตัวลง 23%YoY สู่ 7.3 พันล้านบาทลดลงเนื่องจากยอดขายมือถือ Huawei ในปี 62 สร้างฐานสูงจากการออกรุ่นใหม่ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามปี 1Q63 ยอดขาย Huawei ปรับตัวลงหลังไม่มีบริการของ Google จากผลของสงครามการค้า ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นจาก 4.18% ใน 1Q62 สู่ 4.27% เนื่องจากสัดส่วนสินค้าที่มีอัตรากำไรสูงกว่าค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 11 ลบ. สู่ 209 ลบ.

·         -ผู้บริหารคาดปี 63 ยอดขายจะอ่อนตัวลงจากปี 62 เนื่องจากยอดขาย Huawei ที่อ่อนตัวลง อีกทั้งมีการปิดห้างสรรพสินค้าตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 63 – 15 พฤษภาคม 63 ส่งผลกระทบต่อยอดขายของบริษัท อย่างไรก็ตามบริษัทสามารถบริหารจัดการโลจิสติกส์ได้อย่างดีทำให้ดำเนินงานได้ตามปกติ นอกจากนี้มีการเพิ่มสินค้าใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์เข้ามา อาทิ เครื่องตรวจอุณหภูมิ เพื่อมาชดเชยการปรับตัวลงของยอดขายมือถือ

·         -ความเห็น เราคาดว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลง 14%YTD ได้สะท้อนปัจจัยลบจากผลประกอบการปี 63 ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ไปแล้ว โดยเราแนะนำให้ ถือ เพื่อรับเงินปันผลเฉลี่ย 5 ปีที่ 5% ต่อปี

·         (+/-) TTW (Bloomberg Consensus 14.45 บาท) เล็งทบทวนยอดขายน้ำประปาปีนี้ หวั่นโควิด-19 ฉุดยอดใช้ภาคอุตสาหกรรมลดในช่วงครึ่งปีหลัง พร้อมอัดงบลงทุนปรับปรุงโรงผลิตน้ำ 400 ล้านบาท มั่นใจฐานะการเงินแข็งแกร่ง-สภาพคล่องสูง (ที่มา ข่าวหุ้น)

·         (+/-) THAI (Bloomberg Consensus 2.7 บาท)   คมนาคมชงแผนฟื้นฟู การบินไทยเข้าครม.วันนี้ คนร.เคาะยื่นศาลล้มละลาย พ้นสภาพรัฐวิสาหกิจ สั่งคลังลดสัดส่วนการถือหุ้น THAI ต่ำกว่า 50% ให้หน่วยงานที่ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจถือ ก่อนเพิ่มทุนใหม่ 8 หมื่นล้านบาท คาดหุ้นถูกแขวน SP ยาวเหมือนกรณีหุ้น SSI ด้าน อนุทินยอมรับการหลุดจากรัฐวิสาหกิจคือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ สหภาพฯออกโรงค้านสุดตัว โบรกฯ ชี้ KTB กระทบหนักตั้งสำรองหนี้การบินไทยเพียบ (ที่มา ข่าวหุ้น)

·         (+/-) SABINA (Bloomberg Consensus 22.95 บาท) มั่นใจปี 63 มีกำไรสุทธิ แม้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยตรง เดินหน้าปรับตัวรับมือ เน้นขายผ่านออนไลน์-ลดต้นทุน-ออกสินค้าใหม่ "TRIPLE Mask"-ลดกำลังการผลิตชุดชั้นใน (ที่มา ข่าวหุ้น)

  • (+/-) MINT (Bloomberg Consensus 21.49 บาท) เพิ่มทุน 1,037,955,941 หุ้น ให้ผู้ถือหุ้นเดิม 45 / 1 หุ้นใหม่ ราคา เฉลี่ย 7-15 วัน (XR : 8 ก.ค. 63) และออก Warrant (MINT-W7) 17 : 1 @0.00 (XW : จะกำหนดภายหลัง)
  • (+) MEGA (Bloomberg Consensus 34.94 บาท) ผู้บริหาร MEGA ชี้ยอดขายยา-วิตามิน รักษาสุขภาพมาแรง มั่นใจรายได้โต 6-10% ทยอยออกสินค้าใหม่กระตุ้น เดินหน้าซื้อกิจการ-สร้างโรงงานใหม่ต่อ โบรกมองผลงานไตรมาสแรกเด่น รับผลกระทบโควิด-19 จำกัด (ที่มา ทันหุ้น)
  • (+) PIMO (Bloomberg Consensus - บาท)  ผลงานไตรมาส 1/2563 พุ่งกระฉูด 48% ชี้ราคาวัตถุดิบลดดันมาร์จิ้น ด้านบอสใหญ่ส่งสัญญาณลุ้นตัวเลขงบปี 2563 ทำสถิติใหม่สูงสุด เกาะติดออเดอร์และการส่งมอบทุกเดือน ลั่นยอดออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ไหลเข้ากว่า 100 ล้านบาท เตรียมส่งครึ่งหลัง พร้อมเจาะฐานอเมริกา ดันกำลังผลิตเพิ่ม 4 เท่า (ที่มา ทันหุ้น)