'พิมโก้' แนะซื้อหุ้นกู้ต่างประเทศ ชูกลุ่ม 'แบงก์-สื่อสาร' ฝ่าโควิด

'พิมโก้' แนะซื้อหุ้นกู้ต่างประเทศ ชูกลุ่ม 'แบงก์-สื่อสาร' ฝ่าโควิด

“กองทุนพิมโก้” แนะเพิ่มน้ำหนักลงทุนตราสารหนี้ภาคเอกชน กลุ่มการเงินธนาคาร และสื่อสาร ชี้มีโอกาสเติบโตฝ่าวิกฤติโควิด รวมถึงตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่สภาพคล่องสูง ชูผลตอบแทนคาดหวังเฉลี่ย 6.3% ต่อปี เผยลงทุนช่วงวิกฤติสามารถรับผลตอบแทนดีในระยะกลางและยาว

นายแมทธิว ลีวาส ผู้อำนวยการอาวุโส และนักวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ตราสารหนี้ภาคเอกชน แปซิฟิกอินเวสท์เมนท์แมเนจเมนท์ หรือ พิมโก้ ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุนตราสารหนี้ภาครัฐรายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า  กลยุทธ์กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศในภาวะเช่นนี้ นอกจากตราสารหนี้ภาครัฐแล้ว กองทุนพิมโก้ยังเพิ่มน้ำหนักลงทุนในอุตสาหกรรมที่ไม่รับผลกระทบโดยตรง จากเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวและการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้แก่ กลุ่มการเงินและธนาคารพาณิชย์ ซึ่งยังมีฐานทุนแข็งแกร่ง และกลุ่มสื่อสาร ที่มีการเติบโตของรายได้ในอนาคต ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่ลดน้ำหนักหรือหลีกเลี่ยงการลงทุน ได้แก่ กลุ่มพลังงานและกลุ่มวัตถุดิบ ที่ราคายังอยู่ในระดับต่ำ กลุ่มยานยนต์และกลุ่มบันเทิง ที่มีรายได้ปรับตัวลดลง

ขณะที่การลงทุนตราสารหนี้ประเทศเกิดใหม่ เน้นตราสารหนี้รัฐบาล เลือกประเทศที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในขณะนี้ และมีสภาพคล่องสูง โดยธนาคารกลางในประเทศนั้นๆเข้ามาดูแลเสถียรภาพตลาดการเงิน เช่น เกาหลีใต้ ไทย รัสเซีย เม็กซิโก อินโดนีเซีย ชิลี ตุรกี โดยเน้นการลงทุนใน Agency mortgages เนื่องจากมีระดับราคาที่ถูก ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่มีความกังวลด้านสภาพคล่อง นอกจากนี้ ยังให้ความสนใจใน Non-agency mortgages เนื่องจากมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดอสังหาฯในสหรัฐฯ

ปัจจุบันกองทุนพิมโก้ มีพอร์ตการลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 2ใน3 เป็นตราสารหนี้เครดิตเรทติ้งระดับ BBขึ้นไป ที่เหลือระดับ B และในจำนวนนี้ มีเพียง1-2%เป็นไฮยิลด์ โดยยังสามารถบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนได้ดีกว่าตลาด สร้างผลตอบแทนคาดหวังในระดับ 6.3% ต่อปี

สำหรับมุมมองการลงทุนตราสารหนี้ทั่วโลก กองทุนพิมโก้ยังมีความเชื่อว่าครึ่งปีหลังของปี 2563 การขยายตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกจะค่อยๆ กลับมาฟื้นตัว และคาดว่าในปี2564-2565  เศรษฐกิจจะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ในระดับเดียวกับปี 2562

 

" ช่วงเวลานี้ ตราสารหนี้ทั่วโลกมีความน่าสนใจเพิ่มขึ้น  เนื่องจากการลงทุนในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว หรือราคาของตราสารหนี้ที่มีเครดิตปรับลดลง สามารถสร้างผลตอบแทนสูง ในระยะกลางและยาว

เห็นได้จากในช่วงวิกฤติปี 2540 ผลตอบแทนกองทุนติดลบ และเรายังคงลงทุนต่อ หลังจากนั้นหนึ่งปีถัดมาสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่า25% และคุณภาพของกองทุนยังอยู่ในระดับสูง จนถึงปี 2563 ที่เกิดวิกฤติโควิด 19 ทำให้โอกาสได้รับผลตอบแทนน้อยลงหรือขาดทุนได้ แต่ยังติดลบน้อยกว่าเมื่อเทียบกับตลาด"