'กลุ่มโรงไฟฟ้า'กำไรส่อวูบ 81% พิษบาทอ่อน

'กลุ่มโรงไฟฟ้า'กำไรส่อวูบ 81% พิษบาทอ่อน

บล.กสิกรไทย คาดกำไรกลุ่มโรงไฟฟ้าแบบดั่งเดิม ช่วงไตรมาสแรกปี 63 ส่อวูบ 81% แตะระดับ 1.8 พันล้าน ชี้ผลจากขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ขณะ กำไรจากธุรกิจหลักยังแข็งแกร่ง จากกำลังผลิตที่เพิ่มกว่า 15%

บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์(บล.) กสิกรไทย ประเมินว่า กำไรสุทธิงวดไตรมาสแรกปี 2563 ของกลุ่มโรงไฟฟ้าแบบดั่งเดิมจะอยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท ลดลง 81% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน(YoY) และ 70% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า(QoQ) จากผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (FX) เนื่องจากเงินบาทที่อ่อนค่าลง และหนี้สินในสกุลเงินต่างประเทศ โดยเฉพาะของผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าประเภท IPP ( EGCO, GULF) และ SPP (BGRIM, GPSC)

อย่างไรก็ตาม คาดว่ากำไรธุรกิจหลัก ( core profit )ในไตรมาส 1/2563 ยังแข็งแกร่งอยู่ที่ 8.9 พันล้านบาทเพิ่มขึ้น 5% YoY และ 63% QoQ ปัจจัยหนุนการเติบโตในเชิง YoY คาดจะมาจาก 

1) กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น 15% YoY มาอยู่ที่ 24,473 MW ผู้ประกอบการที่มีกำลังการผลิตสูงที่สุดคือ BGRIM, CKP, GPSC,และ GULF 2) อัตรากำไรที่สูงขึ้นเนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติลดลง 6% YoY มาอยู่ที่ 266 บาท/mmbtu ส่งผลให้อัตรากำไรของ BGRIM และ GPSC สูงขึ้นแรงขับเคลื่อนการเติบโตในเชิง QoQ คาดจะมาจาก 1) การกลับมาผลิตในระดับปกติจากช่วงโลวซีซั่นในไตรมาส4  

2) การขาดหายไปของผลกระทบจากภัยธรรมชาติ เทียบกับที่เกิดแผ่นดินไหวในประเทศลาวในไตรมาส 4/2562 ซึ่งส่งผลกระทบต่อโรงไฟฟ้าถ่านหินหงสาในประเทศลาวและส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิของ BPP และ RATCH และ 3) ไม่บันทึกค่าใช้จ่าย พนักงานก้อนใหญ่

ส่วนแนวโน้มภาพรวมกำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2563 คาดว่าจะลดลง YoY จาก 

1) กำไรจาก FX ที่ต่ำ 

2) กำไรธุรกิจหลักที่ลดลงจากรายได้ที่ระบุในสัญญาของโรงไฟฟ้า IPP ที่น้อยลงแม้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นและต้นทุนพลังงานลดลง เราคาดว่ากำไรสุทธิจะสูงขึ้น QoQ จากผลขาดทุนจาก FX ที่ลดลงเนื่องจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 32.5 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ จาก 32.8 บาท/ดอลลาร์ฯ ช่วงปลายไตรมาสก่อน คาดว่ากำไรธุรกิจหลักในไตรมาส 2/2563 จะอ่อนตัวลง QoQ จากอุปสงค์ที่ชะลอตัวลงของผู้ใช้อุตสาหกรรมและค่าไฟฟ้าที่ลดลง 3% ตามคำสั่งของรัฐบาลตั้งแต่เดือนเม.ย. ถึง มิ.ย.ซึ่งจะกดดันกำไรธุรกิจหลักของผู้ประกอบการ SPP (BGRIM GPSC และ GULF)

ทั้งนี้ยังคงมุมมอง “บวก” ต่อกลุ่มผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าพลังงานหลัก ราคาหุ้นของผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าพลังงานหลักปรับเพิ่มขึ้นดีกว่ากลุ่ม จากอัตราตอบแทนพันธบัตรที่ต่ำ ผลจากความกังวลต่อเรื่องสภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ถดถอยลงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ราคาหุ้นของ GULF ดีกว่าของคู่แข่งหนุนจากภาพรวมการเติบโตในระยะยาว

ดังนั้น บล.กสิกรไทย จึงปรับลดคำแนะนำหุ้น GULF เป็น “ถือ” จาก upside ที่จำกัด ให้ราคาเป้าหมาย GULF ที่ 35.50 บาท (ราคาหลังแตกพาร์ ) จากเดิมที่ 177.0 บาท และเลือกผู้ประกอบการประเภท IPP อย่าง EGCO (ราคาเป้าหมาย 358 บาท ) และ RATCH (ราคาเป้าหมาย 75.75 บาท ) เป็นหุ้นเด่น กอปรกับระดับราคายังขึ้นค่อนข้างน้อย