ส่องยุทธศาสตร์คลาย 'ล็อคดาวน์' ทั่วโลก

ส่องยุทธศาสตร์คลาย 'ล็อคดาวน์' ทั่วโลก

ขณะนี้เมืองใหญ่และประเทศต่าง ๆ เริ่มคลายล็อคดาวน์ หรือประกาศวันที่จะเลิกใช้มาตรการล็อคดาวน์ที่ชัดเจนมากขึ้น แม้การผ่อนคลายครั้งนี้จะดำเนินไปตามยุทธศาสตร์ คุมเข้ม และผ่อนปรน พร้อมกับดูผลที่ตามมา ไปดูกันว่ามีประเทศใดบ้างที่คลายล็อคดาวน์

การคลายล็อคดาวน์ครั้งนี้จะดำเนินไปตามยุทธศาสตร์ “The Hammer & The Dance” คือ ทุบด้วยค้อน และเปิดโอกาสให้ฟ้อนรำ คือการคุมเข้ม และผ่อนปรน พร้อมกับดูผลที่ตามมา รวมถึงดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป

แอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก บอกว่า รัฐนิวยอร์กจะเริ่มดำเนินการทางเศรษฐกิจอีกครั้ง หลังจากที่การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว โดยจะใช้กลยุทธ์เปิดเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไปทีละเฟส โดยเฟสแรกเปิดภาคการก่อสร้างและการผลิตก่อน จากนั้นเฟสสองจะประเมินธุรกิจเป็นกรณี ๆ ไป ขึ้นอยู่กับความสำคัญของธุรกิจนั้นๆ

คูโอโม ระบุว่า แต่ละเฟสจะห่างกัน 2 สัปดาห์ เพื่อตรวจสอบผลกระทบของการเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง และสร้างความมั่นใจว่าอัตราผู้ที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและผู้ติดเชื้อจะไม่เพิ่มขึ้น

“ข้อแม้ประการหนึ่งคือคุณไม่สามารถทำอะไรในภูมิภาคใด ๆ ที่อาจจะเป็นการเพิ่มจำนวนผู้มาเยือนยังภูมิภาคนั้น ๆ” คูโอโม กล่าว

แต่ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ก็ไม่ได้ระบุวันที่จะใช้กลยุทธ์ดังกล่าวอย่างชัดเจน บอกแค่ว่าบางส่วนของรัฐอาจเริ่มเปิดทำการในวันที่ 15 พ.ค. ซึ่งเป็นกำหนดเส้นตายในการยุติการล็อคดาวน์ของรัฐในปัจจุบัน

คูโอโม กล่าวว่า พื้นที่ที่มีแนวโน้มว่าจะเปิดเศรษฐกิจอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้อาจจะเป็นตอนเหนือของนิวยอร์ก ซึ่งมีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ต่ำเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่น ๆ ของรัฐและในส่วนของการเปิดเศรษฐกิจตอนล่างของนิวยอร์ก รวมถึงนิวยอร์กซิตี้ ซึ่งเป็นเขตที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากที่สุด รวมถึงเขตแนสซอ และเวสต์เชสเตอร์นั้น จะเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและต้องการการประสานงานระดับภูมิภาค

ด้าน เควิน แฮสเซทท์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว กล่าวว่า การที่สหรัฐสั่งปิดเศรษฐกิจเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อาจส่งผลกระทบรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ และมีแนวโน้มจะทำให้อัตราว่างงานเดือนเม.ย. พุ่งแตะระดับ 16% หรือมากกว่านั้น

“นี่เป็นสถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา และคาดว่าอัตราว่างงานอาจพุ่งขึ้นถึง 2 เท่าจากในช่วงที่เกิดเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในช่วงทศวรรษที่ 1930 โดยเชื่อว่าอัตราว่างงานเดือนเม.ย.อาจสูงถึง 16% หรือมากกว่านั้น” แฮสเซทท์ กล่าว 

นอกจากนี้ แฮสเซทท์ ยังคาดการณ์ว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐในไตรมาส 2 อาจร่วงลงอย่างหนัก ซึ่งนับตั้งแต่สหรัฐประกาศมาตรการล็อคดาวน์ทั่วประเทศเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก ทั้งยังมีชาวอเมริกันมากถึง 26.5 ล้านคนขึ้นทะเบียนเพื่อรับสวัสดิการผู้ว่างงานนับแต่ช่วงกลางเดือน มี.ค. ซึ่งถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์

158805988768

เมื่อวันเสาร์ (25 เม.ย.) รัฐจอร์เจีย โอคลาโฮมา อะแลสกา และเซาท์แคโรไลนาเป็นรัฐกลุ่มแรกที่เริ่มเปิดเมืองภายใต้เงื่อนไขจำกัด แม้ว่ายอดผู้เสียชีวิตสะสมจากโรคโควิด-19 ในสหรัฐยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นมากกว่า 55,000 คน เช่นเดียวกับจำนวนผู้ป่วยที่สะสมเพิ่มใกล้ถึง 1 ล้านคน

ข้ามไปที่ยุโรป หนังสือพิมพ์เดอะเทเลกราฟ รายงานว่า บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ มีแนวโน้มที่จะประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ภายในสัปดาห์นี้ โดยจอห์นสันมีกำหนดเข้ามาทำงานที่ทำเนียบนายกรัฐมนตรีในวันจันทร์ (27เม.ย.) หลังจากที่เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นเวลา 1 สัปดาห์ และพักฟื้นที่บ้านพักในต่างจังหวัด เป็นเวลา 2 สัปดาห์

จอห์นสัน ได้หารือกับรัฐมนตรีบางคนว่า รัฐบาลควรมีการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ มากกว่าการยกเลิก เพื่อจะสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนว่าข้อจำกัดทางสังคมยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าจะมีการอนุญาตให้เปิดสถานที่ทำงานและโรงเรียนอีกครั้ง

ขณะที่สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในทวีปยุโรปดีขึ้นมาก หลายประเทศมีจำนวนผู้เสียชีวิตลดลง โดยเฉพาะที่อิตาลี จึงทำให้รัฐบาลอิตาลี มีแผนจะผ่อนคลายมาตรการควบคุมโดยนายกรัฐมนตรีจูเซปเป คอนเต ของอิตาลี ประกาศจะเริ่มผ่อนคลายมาตรการตั้งแต่วันที่ 4 พ.ค. โดยจะอนุญาตให้ผู้คนเดินทางไปเยี่ยมญาติในภูมิภาคเดียวกันได้ และจะเปิดสวนสาธารณะ แต่ยังคงเน้นย้ำเรื่องการเว้นระยะห่างทางสังคม 

หากสถานการณ์ดีขึ้น จะเปิดร้านค้าปลีกในวันที่ 18 พ.ค. และเปิดร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านทำผมในวันที่ 1 มิ.ย. ล่าสุดอิตาลีมีผู้เสียชีวิต 260  ราย ถือว่าน้อยที่สุดนับตั้งแต่กลางเดือน มี.ค. เป็นต้นมา ซึ่งเป็นสัปดาห์แรกของการปิดเมือง ขณะนี้ยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่กว่า 26,600 ราย และยอดติดเชื้อสะสมกว่า 197,600 ราย

ที่รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ก็เริ่มผ่อนคลายมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม หลังสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น โดยจะอนุญาตให้ประชาชนสามารถชุมนุมกันได้ไม่เกิน 10 คน แต่มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมอื่น ๆ จะยังคงอยู่เหมือนเดิม โดยทางการจะพิจารณาทบทวนตามสถานการณ์

มาร์ก แมคโกแวน นายกเทศมนตรี กล่าวว่า การผ่อนปรนข้อกำหนดเพื่อเปิดทางให้ประชาชนได้ติดต่อพบปะกับคนที่ตัวเองรักถือเป็นความก้าวหน้าที่ดี แต่ทุกคนจะต้องปรับตัวให้เหมาะสมด้วย