TACC - ซื้อ

TACC - ซื้อ

ปรับลดคาดการณ์กำไรปี 63 เป็นทรงตัวจากพิษ COVID-19

ประเด็นสำคัญ

  • รายงานกำไรปี 62 เท่ากับ 162 ลบ. +136%YoY (ตามคาด): บริษัทรายงานปี 62 มีรายได้ 1,520 ลบ. +18%YoY โดยมีปัจจัยเติบโตตามการขยายสาขา 7-Eleven ที่เปิดเพิ่มทั้งหมด 724 สาขา ช่วยหนุนรายได้กลุ่ม B2B 1) เครื่องดื่มโถกดเย็น และ 2) มุม All-Café ประกอบกับสินค้าเมนูใหม่ได้กระแสตอบรับดี อาทิ ชานมบุก และชานมไต้หวัน ส่วนรายได้กลุ่ม B2C เติบโตต่อเนื่องตามธุรกิจใหม่ Character Business ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าได้แก่ Tesco, Aura, Major Cineplex และอื่นๆ ประกอบกับมีการรับรู้รายได้จากการจัดอีเวนท์ใหญ่ซึ่งจัดที่ Siam Paragon ขณะที่ %GPM ปรับดีขึ้นมาที่ระดับ 7% จากปีก่อนอยู่ที่ระดับ 28.8% ส่วน %SG&A ปรับดีขึ้นมาที่ระดับ 17.4% จากปีก่อนอยู่ที่ระดับ 21.7% เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้สูญ ส่งผลให้ปี 62 บริษัทมีกำไรเท่ากับ 162 ลบ. +136%YoY ส่วนงวด 4Q62 บริษัทมีกำไรเท่ากับ 44.7 ลบ. +373%YoY +8%QoQ เติบโตตามปัจจัยฤดูกาล และฐานต่ำในช่วงเดียวกันของปีก่อน
  • คาดแนวโน้มผลประกอบการงวด 1Q63 เติบโตเล็กน้อย YoY แต่หดตัว QoQ จากผลกระทบ COVID-19: เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่เริ่มตั้งแต่ช่วงต้นปี 63 จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงเคอร์ฟิวในเดือน มี.. ส่งผลให้กำลังซื้อของลูกค้าหายไปบางส่วน ซึ่งกระทบต่อกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มโถกดเย็น และ Character Business ทำให้ลูกค้าเลื่อนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ อย่างไรก็ดี มุม All-Café ยังมีแนวโน้มดีตามปกติ โดยเราคาดแนวโน้มผลประกอบการ 1Q63 อาจเติบโตเล็กน้อย YoY จากฐานต่ำในปีก่อน แต่หดตัว QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล รวมทั้งผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้กำลังซื้อชะลอตัวลง
  • ปรับประมาณการกำไรปี 63 เป็นทรงตัวจากปีที่ผ่านมา: ภาพรวมทั้งปี 63 เราคาดรายได้ราว 1,594 ลบ. ยังคงเติบโตราว 5% (ปรับลดจากเดิมที่โต 10%) แม้ว่าจะมีปัจจัยกดดันจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างไรก็ดี เราคาดว่ารายได้จะยังคงเติบโตตามการขยายสาขาใหม่ของ 7-Eleven ที่คาดว่าปีนี้จะเปิดเพิ่มราว 600-650 สาขา ประกอบกับคาดว่ากำลังซื้อจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ดี เราปรับลด %GPM เหลือ 30% จากปีก่อนซึ่งอยุ่ที่ระดับ 7% ส่งผลให้คาดกำไรปี 63 ราว 164 ลบ. +1%YoY (ปรับลดลงจากเดิม 7% ที่ 177 ลบ. +10%YoY)
  • คงคำแนะนำ “ซื้อแต่ปรับราคาเหมาะสมลดลงสู่ 5.50 บาท (จากเดิม 6.45 บาท): เราประเมินราคาเหมาะสมด้วยวิธี Prospective PER ณ ระดับ -0.75SD ของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 2 ปี ที่ 20.5 เท่า ปรับลดลงจากเดิมที่ PE 25 เท่า เนื่องจากการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจ และประมาณกำไรสุทธิต่อหุ้นปี 63 ราว 0.27 บาท/หุ้น คำนวณได้ราคาเหมาะสมที่ 5.50 บาท ลดลงจากเดิมที่ 6.45 บาท อย่างไรก็ดี ยังคงมี Upside จากราคาปัจจุบัน จึงคงคำแนะนำ ซื้อ

ความเสี่ยง

i) ธุรกิจมีการแข่งขันสูงและรุนแรง          ii) รายได้กว่า 90% พึ่งพิงร้าน 7-11         iii) ผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่ประสบความสำเร็จ