Up and Down

Up and Down

Trading Buy (จุดขายตัดขาดทุน 3%)

คาดการณ์ตลาดหุ้นไทยวันนี้ :

เราคาดว่าดัชนีฯ Up and Down แนวต้าน 1250 / 1260 จุด แนวรับ 1220 / 1210 จุด แนะนา Trading Buy หลักทรัพย์ที่คาดว่าจะมีโมเมนตัมบวก จากกระแสผ่อนปรนมาตรการคุมเข้มของไทยและหลายประเทศทั่วโลกที่อาจทาให้หลายธุรกิจที่ได้กลับมาเปิดใหม่ ส่วนปัจจัยลบ คือ ตลาดหุ้นไทยเริ่มเข้าสู่เขตแพงทางปัจจัยพื้นฐาน (ราคาหุ้นขึ้นมาแล้วกว่า 35% จากระดับต่าสุด 969 จุด) และรายงานผลกาไรบจ. ที่มีแนวโน้มแย่ลงใน 1H20E

ประเด็นที่มีผลต่อตลาดวันนี้ ได้แก่

1) การประกาศมาตรการผ่อนปรนของแต่ละประเทศ รวมถึงไทย จะเป็นปัจจัยสนับสนุน ระยะสั้นต่อธุรกิจที่ได้กลับมาเปิดใหม่

2) ตลาดหุ้นไทยซื้อขายในระดับ Valuation ที่สูงถึง PER 16 เท่า ขณะที่ผลกำไรบจ.แย่ลงต่อเนื่อง อิง BB Consensus ปรับลดปี 2020E EPS ลงมาเหลือ 76.83 บาท จาก 92.9 บาท (ต้นเดือน มี.ค.) และ 113 บาท (ปลายปี 2019)

3) กลุ่มการเงินทยอยประกาศงบในสัปดาห์นี้ อาจมีโอกาสรายงานกำไรดีกว่าคาด หลังจากกกบ. ผ่อนปรนมาตรฐานบัญชี 2 ฉบับ ไปเมื่อวันที่ 16 เม.ย. ที่ผ่านมา ทำให้การตั้งสำรองหนี้เสียอาจไม่สูงขึ้นดังคาดการณ์

4) ผลทดสอบยา Remdesivir แม้เป็นบวกที่ดีขึ้น แต่เป็นเพียงการทดสอบเพียงสถานที่เดียว และยังไม่ใช่เป็นข้อสรุปจากผลทดลอง เฟส 3 รวมทั้งข่าวที่ STAT News แถลงเป็นเพียงความเห็นของสมาชิกในโรงพยาบาลชิคาโก ไม่ใช้ข้อมูลที่เป็นทางการจากบริษัทผู้ผลิต

ตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้: UK-การเจรจากระบวนการหลัง Brexit ระหว่าง EC-UK เริ่มเจรจารอบสอง จนถึงวันที่ 24 เม.ย. China-Loan Prime Rate คาดปรับลดลง 0.2% จาก 4.05% เป็น 3.85% และจาก 4.75% เป็น 4.7% ตามลำดับ

สรุปภาวะตลาดหุ้น ทองคำ น้ำมัน วันศุกร์

+ ตลาดหุ้นไทยกลับมาปิดบวก: ตลาดหุ้นไทยปรับสูงขึ้นตลอดการซื้อขายและมาปิดที่ระดับใกล้สูงสุดของวันที่ 1239.24 จุด +39.09 จุด +3.26% วอลุ่ม 5.89 หมื่นล้านบาท กลุ่มนำขึ้น คือ ขนส่ง +6.57% ไฟแนนซ์ +5.73% มีเดีย +5.2% หุ้นพุ่งแรงกว่า 6% ได้แก่ AOT SAWAD MTC CPF CPN CRC HMPRO THAI PTG THANI JMT PLANB DOHOME ส่วนหุ้นร่วง >5% คือ STARK BGC

+ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปขึ้นต่อเนื่อง: ตลาดหุ้นโลกปรับสูงขึ้นรับข่าวพัฒนาการของยารักษา Covid-19 และการเตรียมเปิดเศรษฐกิจรอบใหม่ DJIA +2.99% S&P500 +2.68% Nasdaq +1.38% DAX +0.21% FTSE +0.55% (ทั้งสัปดาห์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯขึ้นต่อเป็นสัปดาห์ที่ 2 DJ +2.2% WoW S&P500 +3% WoW Nasdaq +6.1% WoW แต่ยุโรปทรงตัว)

- น้ำมันดิบและทองคำร่วงต่อ: WTI -USD1.63 -8.1% ปิด USD18.27/บาร์เรล Brent +USD0.26 +0.9% ปิดUSD28.08/บาร์เรล วิตกอุปทานล้นตลาด แม้กลุ่มโอเปคพลัสลดกำลังการผลิต ส่วนทองคำปิดร่วงเป็นวันที่ 3 -USD32.9 -1.9% ปิดที่ USD1698.80 /ออนซ์ จากการหันไปซื้อสินทรัพย์เสี่ยงแทน (ทั้งสัปดาห์ WTI-19.7% WoW Brent -10.8% WoW ทอง -3.1% WoW)

ประเด็นสำคัญ

- Foreign Fund Flow: นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 6 ชาติในเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) ต่อเนื่อง ปริมาณสูงขึ้นเป็น -USD877mn (สัปดาห์ก่อนหน้าขายสุทธิ -USD715mn) โดยขายทุกตลาดยกเว้นไต้หวัน ส่วนตลาดหุ้นไทยถูกขายต่อเป็นสัปดาห์ที่ 14 ด้วยปริมาณลดลง –USD276mn (Vs สัปดาห์ก่อน –USD356mn) ทำให้ปี 2020E YTD มีแรงขายสะสม –USD4,471mn

+/- COVID-19 Update ณ วันที่ 19 เมย.: พบผู้ติดเชื้อทั่วโลกกว่า 2.32 ล้านราย เสียชีวิตกว่า 1.6 แสนราย โดยสหรัฐฯ มีผู้ติดเชื้อสูงสุด 7.35 แสนราย เสียชีวิต 3.88 หมื่นราย สเปน 1.94 แสนราย อิตาลี 1.75 แสนราย ฝรั่งเศส 1.52 แสนราย เยอรมนี 1.43 แสนราย ไทย-จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ ณ วันที่ 18-19 เม.ย. เพิ่มขึ้น 33 ราย และ 32 ราย สะสม 2765 ราย ผู้เสียชีวิตเท่าเดิม 47 ราย

+ มาตรการผ่อนปรน: USA-Texas Vermont เป็น 2 รัฐ ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวว่าจะเปิดบางธุรกิจในวันจันทร์นี้ เช่น Texas เปิดค้าปลีก-เปิดบริการ to go , pick up, delivery , สวนสาธารณะเปิดสำหรับผู้สวมหน้ากากและเว้นระยะทางสังคม Vermont-เปิดให้อุตสาหกรรมที่มีการบริการติดต่อน้อยกับลูกค้า เช่น ธุรกิจรับเหมาฯ ธุรกิจบริหารอสังหาฯ สามารถให้พนักงาน 2 คนเข้าไปทำงานได้ ส่วน Michigan ผู้ว่าฯ เตรียมผ่อนคลายมาตรการบางส่วนตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.

- วัคซีนรักษาไวรัสฯ: นักวิเคราะห์หลายแห่งจาก Jefferies, Barclays, JP Morgan แจ้งว่าข่าวผลยา Remdesivir แม้เป็นบวกที่ดีขึ้น แต่เป็นเพียงความเห็นของสมาชิกในโรงพยาบาลชิคาโก ไม่ใช้ข้อมูลที่เป็นทางการจากบริษัทผู้ผลิต Gilead หรือหัวหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง

- ไทย: 2020E Earnings Revision: ประมาณการ EPS ของดัชนี SET ปี 2020 ปรับลดลงมาอยู่ที่ 76.83 บาท/หุ้น จาก 78.54 บาท/หุ้น ในสัปดาห์ก่อน โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2020 สูงสุด คือ กลุ่มการท่องเที่ยวและสันทนาการ -51.1% กลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ -26.9% กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ -10.6%

+/- US Earnings Results: FACTSET คาด 1Q20E Earnings ของบจ. คำนวณในดัชนี S&P500 จะเติบโต -14.5% YoY (Vs สัปดาห์ก่อนคาด -12% YoY) ซึ่งลดลงมากเมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2019 ที่คาดว่าจะเติบโต +4.4% YoY และคาดว่ากำไรจะเติบโตลดลงมากที่สุดใน 2Q20E (คาดเติบโต -26.6% YoY 3Q20E (-13.3% YoY) 4Q20E (-4.8% YoY) ส่วนวันนี้จับตาผลกำไรของ P&G คาดกำไร +8.2% YoY -20.1% QoQ และทั้งสัปดาห์นี้จะมี 7 บจ. ที่คานวณอยู่ในดัชนี DJIA ได้แก่ P&G, IBM, Travelers, Coca-Cola, Intel, AMEX , Verizon และ 96 บจ. ที่คำนวณในดัชนี S&P500 index รายงานงบการเงิน

+/- Thai Earnings Results: สัปดาห์นี้กลุ่มธนาคารจะทยอยประกาศงบการเงินทั้งหมด โดย BB Consensus คาด 9 ธนาคาร จะรายงานกำไรสุทธิรวม 43,474 ล้านบาท -20.7% YoY -5.05% QoQ กลุ่มไฟแนนซ์ 3 แห่ง (KTC SAWAD LHFG) รายงานกำไรรวม 3,250 ล้านบาท +0.33% YoY -1.27% QoQ และกลุ่มที่มิใช่สถาบันการเงิน นำโดย DTAC คาดกำไร 1,367 ล้านบาท -2.9% YoY +172.43% QoQ ทั้งนี้ กลุ่มการเงินที่รายงานกำไรดีสุด คือ TMB กำไร 3,277 ล้านบาท +107.5% YoY +102.9% QoQ ส่วนกลุ่มไฟแนนซ์ KTC คาดกำไรสุทธิ 1,687 ล้านบาท +6.1% YoY +27.9% QoQ SAWAD กำไรสุทธิ 931 ล้านบาท +10.4% YoY แต่ลดลง -14.8% QoQ ทั้งนี้ กลุ่มการเงินมีโอกาสที่จะรายงานกำไรดีกว่าคาดการณ์ ภายใต้มาตรการผ่อนปรนมาตรฐานบัญชี 2 ฉบับ ของกกบ. ที่เพิ่งอนุมัติไปเมื่อวันที่ 16 เม.ย. ที่ผ่านมา

- Strategy Update: คาดการแรลลี่ของตลาดหุ้นรอบนี้ไม่เกิน 1310 จุด โดยมีแนวต้านแรกที่ 1270 จุด อิงระดับ PER ที่ 17 เท่า ซึ่งแพงมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย MSCI Asia Ex-Japan ที่ 13.4 เท่า และโมเมนตัมแรงซื้อของนักลงทุนสถาบันในประเทศอาจเริ่มกลับมาขายสุทธิ หลังจากซื้อสะสมเดือน มี.ค.-เม.ย. กว่า 4.26 หมื่นล้านบาท (สะสมสูงสุดในอดีตที่ 4.4 หมื่นล้านบาท ช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย. 2019) และราคาหุ้นดีดขึ้นมาจากระดับต่ำสุดกว่า 35%

- XD Effect: สัปดาห์นี้จะมีผลกระทบต่อดัชนีฯ -3.55 จุด ส่วนวันนี้มีผลต่อดัชนีฯ -2.24 จุด นำโดย JAS CK ฯลฯ

แนะนำ Trading Buy (จุดขายตัดขาดทุน 3%)

หุ้นแนะนารายสัปดาห์: HMPRO STA GULF

หุ้นแนะนาเก็งกาไร: KTC SAWAD BBL KBANK GULF HMPRO DCC DTAC

Derivatives: รอเปิด Long เมื่ออ่อนตัว หลัง 10:30 น. (อ่านเพิ่มใน KTZ-D)