เพื่อนบ้านอาเซียนน่าห่วง ยอดติดเชื้อโควิดพุ่งไม่หยุด

เพื่อนบ้านอาเซียนน่าห่วง ยอดติดเชื้อโควิดพุ่งไม่หยุด

ผู้นำชาติสมาชิกอาเซียนเห็นพ้องกันว่าจะร่วมกันต่อสู้กับ “วิกฤติสาธารณสุขครั้งรุนแรงที่สุด” ในรอบ 100 ปี เพื่อทำให้ภูมิภาคกลับมาปลอดภัยอีกครั้ง

การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ในกลุ่มชาติสมาชิกอาเซียนยังรุนแรง ยอดติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ต้นตอโรคโควิด-19 ในอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ทะลุ 5,000 ราย ส่วนสิงคโปร์ ทุบสถิติ ยอดผู้ติดเชื้อวันเดียวทะยาน 447 ราย

กระทรวงสาธารณสุข "สิงคโปร์" ยืนยันพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 447 ราย เป็นตัวเลขสูงสุดในวันเดียว ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมเพิ่มเป็น 3,699 ราย โดยในบรรดาผู้ติดเชื้อรายใหม่มีอยู่ 404 ราย ที่เกี่ยวข้องกับหอพักแรงงานต่างด้าว ส่วนยอดผู้เสียชีวิตยังอยู่ที่ 10 ราย

กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ ระบุว่า ผู้ติดเชื้อรายใหม่มีความเกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า ในหอพักแรงงานต่างด้าว ซึ่งสิงคโปร์ได้ทำการกักตัวแรงงานต่างด้าวหลายพันคน หลังจากพบว่าพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ส่วน "ฟิลิปปินส์" ยังเป็นชาติที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 หนักหน่วงที่สุดในอาเซียน หลังกระทรวงสาธารณสุขรายงานว่าพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 230 ราย และเสียชีวิตเพิ่มเติม 14 ราย

ตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในฟิลิปปินส์เพิ่มเป็น 349 ราย ส่วนผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 5,453 รายแต่มีคนไข้ที่ฟื้นตัวเพิ่มเติมอีก 58 ราย ยอดรวมเป็น 353 ราย

ต่อมาคือ "อินโดนีเซีย" หลังกระทรวงสาธารณสุขแถลงพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 297 รายเมื่อวันพุธ (15 เม.ย.) ส่งผลให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อสะสมเพิ่มเป็น 5,136 ราย นอกจากนี้ อัชมัด ยูเรียนโต อธิบดีกรมควบคุมและป้องกันโรคติดต่อของกระทรวงสาธารณสุขอินโดนีเซีย ยังระบุว่า พบผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เพิ่มเติมอีก 10 ราย ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 469 รายโดยมีจำนวนคนไข้ที่หายป่วยเพิ่มเป็น 446 ราย

ขณะที่ "มาเลเซีย" มีรายงานพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในวันพุธแค่ 85 ราย ถือว่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่รัฐบาลกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดเมื่อวันที่ 18 มี.ค.แต่ยอดผู้ติดเชื้อสะสมทะลุ 5,000 ราย โดยอยู่ที่ 5,072 คน

นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขมาเลเซีย แถลงว่ามีผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม 1 ราย ส่งผลให้ยอดรวมผู้เสียชีวิตจนถึงขณะนี้อยู่ที่ 83 ราย โดยมาเลเซีย เคยเป็นชาติที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ในสัปดาห์นี้ถูกฟิลิปปินส์ และ อินโดนีเซีย แซงหน้า

ที่ผ่านมา ผู้นำชาติสมาชิกอาเซียนเห็นพ้องกันในการประชุมสุดยอดผู้นำสมัยพิเศษผ่านระบบการประชุมทางไกลครั้งแรกว่าจะร่วมกันต่อสู้กับ “วิกฤติสาธารณสุขครั้งรุนแรงที่สุด” ในรอบ 100 ปี เพื่อทำให้ภูมิภาคกลับมาปลอดภัยอีกครั้ง

นายกรัฐมนตรีลี เซียนลุง ของสิงคโปร์ กล่าวว่า "โควิด-19 เป็นวิกฤติสาธารณสุขครั้งรุนแรงที่สุดในรอบศตวรรษ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเราและอาเซียนที่จะตอบสนองอย่างเป็นเอกภาพเนื่องจากความเชื่อมโยงและการพึ่งพาอาศัยกันระหว่างประเทศของเรา ไม่มีใครในอาเซียนสามารถปลอดภัยได้อย่างแท้จริงจนกว่าทั้งภูมิภาคจะปลอดภัย”

ด้านนายกรัฐมนตรีเหวียน ซวน ฟุก ของเวียดนามซึ่งเป็นประธานการประชุมเห็นพ้องกับประเทศสมาชิกว่า ควรเพิ่มความร่วมมือในการต่อสู้กับเชื้อไวรัสโคโรน่า ในภูมิภาค และทำให้แน่ใจว่าห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาคยังคงเปิดอยู่

ส่วน "สปป.ลาว" หลังจากนายกรัฐมนตรี ทองลุน สีสุลิด ของลาว ออกคำสั่งใช้มาตรการสกัดกั้นการระบาดเพื่อควบคุมและเตรียมความพร้อมรอบด้านเพื่อต้านโรคโควิด19 เมื่อปลายเดือน มี.ค.สถานการณ์การติดเชื้อโควิดของลาว ยังคงมีผู้ป่วยโควิด 19 ราย และหายป่วย 1 ราย

แต่เมื่อวันที่ 15 เม.ย.นายกฯ ทองลุน กล่าวว่ามาตรการล็อกดาวน์ประเทศที่จะสิ้นสุดในวันที่ 19 เม.ย.นั้น รัฐบาลจะขยายต่อไปอีก 14 วัน จนถึงวันที่ 3 พ.ค. โดยเหตุที่ต้องขยายเวลาล็อกดาวน์ เนื่องจากรัฐบาลลาวยังกังวลเรื่องการแพร่ระบาดจากประเทศกลุ่มเสี่ยง หากมีการเปิดด่านสากลให้คนต่างชาติเข้าประเทศ และรับแรงงานลาวในไทยคืนถิ่นอีกระลอกหนึ่ง

ช่วงปลายเดือน มี.ค.มีแรงงานลาวในไทยเดินทางกลับสปป.ลาวประมาณ 80,000 คน และทางการลาวได้จัดสถานที่กักกัน 14 วันให้ตามมาตรการป้องกันโควิด

มาตรการล็อกดาวน์ของลาวกำหนดห้ามประชาชนออกจากบ้าน(ยกเว้นไปซื้ออาหาร) ห้ามเดินทางข้ามแขวง (จังหวัด) และพบว่ามีประชาชนบางส่วนยังไม่ปฏิบัติ ภาครัฐจึงต้องใช้กำลังทหารเข้ามาช่วยงานตำรวจ และอาสาสมัคร

นอกจากนี้ ยังห้ามจัดงานที่รวมตัวกันเกิน 10 คนขึ้นไป อาทิ งานแต่งงาน, งานบุญปีใหม่ลาว, งานประเพณี, งานเลี้ยงสังสรรค์ และกิจกรรมทางศาสนา ยกเว้นงานศพ ก็ยังมีคนบางกลุ่มดื้อรั้น ไม่ทำตามคำสั่งนายกฯทองลุน ซึ่งการขยายล็อกดาวน์ประเทศออกไปอีก 14 วัน จึงเป็นภาระหนักอึ้งของทหาร-ตำรวจลาว ที่จะต้องดำเนินการสกัดกั้นผู้ฝ่าฝืนคำสั่งนายกฯ อย่างเด็ดขาด