'เอกชน-นักวิชาการ' อิตาลี กดดันรัฐเปิดโรงงานฟื้นเศรษฐกิจ

ความสูญเสียของอิตาลี ไม่ได้เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจและสังคมเท่านั้น แต่มีความสูญเสียทางการแพทย์ด้วย โดยบุคลากรทางการแพทย์ที่เสียชีวิตในประเทศเพิ่มเป็นอย่างน้อย 101 ราย ในจำนวนนี้เป็นแพทย์ 80 ราย และพยาบาลอีก 21 ราย รวมถึงพยาบาล 2 คนที่ตัดสินใจฆ่าตัวตายภายหลังติดเชื้อโคโรน่า เพราะเกรงว่าจะแพร่ไวรัสมรณะให้กับผู้ร่วมงานและผู้ป่วย

ขณะที่ยอดผู้ป่วยสะสมทั่วประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 132,547 คน เสียชีวิตมากเป็นอันดับ 1 ของโลกที่ 16,523 คน และรักษาหายราว 22,837 คน

ล่าสุด สหภาพยุโรป (อียู) ระบุว่า ทีมแพทย์และพยาบาลจากโรมาเนียและนอร์เวย์ได้เดินทางไปยังเมืองมิลานและเบอร์กาโมของอิตาลี เพื่อช่วยบุคลากรทางการแพทย์ของอิตาลีต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ทีมแพทย์พิเศษนี้ได้รับการสนับสนุนจากกลไกของอียูที่เรียกว่า European Union Civil Protection Mechanism (UCPM) ซึ่งมีเป้าหมายในการปกป้องคุ้มครองชีวิตของพลเมืองอียูและประเทศอื่นๆ ในยามที่เกิดวิกฤตการณ์

นอกจากนี้ ออสเตรียยังได้มอบน้ำยาฆ่าเชื้อกว่า 3,000 ลิตรให้กับอิตาลีผ่านทางกลไกนี้ด้วย

"เออร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน" ประธานคณะกรรมมาธิการยุโรป กล่าวว่า “พยาบาลและแพทย์เหล่านี้ได้เสียสละออกจากบ้านของตัวเองมาช่วยเพื่อนร่วมงานในประเทศสมาชิก ซึ่งถือเป็นการแสดงความสามัคคีของอียูอย่างแท้จริง ขณะที่ทางคณะกรรมาธิการกำลังดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อช่วยอิตาลี และประเทศสมาชิกอื่นๆ ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้”

ขณะที่องค์การอนามัยโลก (ดับบลิวเอชโอ)เตือนนานาชาติว่าอย่าเพิ่งผ่อนปรนมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 แม้อัตราผู้ติดเชื้อรายใหม่จะลดลง มิฉะนั้นยอดผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากการระบาดของโรคโควิด-19 จะเพิ่มสูงขึ้นอีก

แต่บริษัทต่างๆ ในอิตาลี ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่สุดอันดับ 3 ของยูโรโซน เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินกลยุทธที่ช่วยให้ภาคการผลิตค่อยๆ กลับมาเดินสายการผลิตได้อีกครั้ง

"ผมอยากให้รัฐบาลออกกฏระเบียบที่เข้มงวดด้านความปลอดภัยและช่วยให้เรากลับมาเปิดโรงงานได้อีกครั้ง" สเตฟาโน รูอาโร ผู้ก่อตั้งเซอร์เทค อิเล็กโทรนิก้า ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและซอฟต์แวร์ในเมืองวิเซนซา กล่าว

ด้านรัฐบาลอิตาลี ระบุว่า อาจจะเริ่มทยอยยกเลิกมาตรการคุมเข้มที่ประกาศใช้กับอุตสาหกรรมการผลิตทีละอุตสาหกรรม ไม่ใช่ยกเลิกในครั้งเดียว ส่วนการรักษาระยะห่างทางสังคมและการสวมหน้ากากเมื่อต้องออกไปอยู่ในที่สาธารณะยังคงเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่