ธปท. ชี้แบงก์ช่วย 'ลูกหนี้' ปรับโครงสร้างแล้วกว่า 2.3 แสนล้านบาท

ธปท. ชี้แบงก์ช่วย 'ลูกหนี้' ปรับโครงสร้างแล้วกว่า 2.3 แสนล้านบาท

ธปท.กำชับแบงก์เร่งช่วยเหลือลูกหนี้เร่งด่วน จากผลกระทบ โควิด-19 พร้อมสั่งแบงก์ เตรียมรับมือ หากโควิด-19กระทบรุนแรง ลั่นแบงก์ปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้แล้ว 3 หมื่นราย วงเงินกว่า 2.3แสนล้านบาท

     นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงินผ่าน VDO conference เพื่อติดตามความคืบหน้าการช่วยเหลือลูกหนี้ และการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ COVID-19 ที่อาจระบาดรุนแรงมากขึ้น

    ด้านการช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงิน พบว่า ช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังจาก ธปท. ออกมาตรการส่งเสริมให้สถาบันการเงินปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุกเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 สถาบันการเงินทั้งระบบได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้แล้วประมาณ 30,000 ราย เป็นมูลค่า 234,000 ล้านบาท

.  ซึ่งมีทั้งการพักหนี้เงินต้น ลดอัตราดอกเบี้ย ปรับระยะเวลาการชำระหนี้ให้ยาวขึ้น เพื่อลดภาระในการผ่อนหนี้ของลูกหนี้ สถาบันการเงินหลายแห่งได้จัดทำกระบวนการทำงานพิเศษ อาทิ ตั้งศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงแบบ one stop service และออก product program

   สำหรับการปรับโครงสร้างหนี้กลุ่มต่างๆ อย่างไรก็ดี ลูกหนี้ที่ได้รับการช่วยเหลือแล้วยังค่อนข้างน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ธปท. จึงกำชับให้ทุกสถาบันการเงินเร่งเข้าไปดูแลลูกหนี้และปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้โดยเฉพาะ SMEs และรายย่อย ต้องปรับกระบวนการทำงานให้เป็นเชิงรุกมากขึ้น และต้องสื่อสารนโยบายจากส่วนกลางลงไปยังสาขาและศูนย์ธุรกิจที่กระจายทั่วประเทศให้รวดเร็วและชัดเจน

   นอกจากการเร่งปรับโครงสร้างหนี้แล้ว ธปท. ได้กำชับให้สถาบันการเงินเตรียมพร้อมแผนสำรองเพื่อให้บริการทางการเงินหลักสามารถดำเนินได้ต่อเนื่องในกรณีที่การระบาดรุนแรงขึ้น ซึ่งแผนสำรองต้องครอบคลุมการบริหารจัดการเงินสดให้ประชาชนเบิกถอนได้อย่างทั่วถึงและเพียงพอ ดูแลให้ระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์สามารถรองรับปริมาณธุรกรรมที่จะเพิ่มขึ้นมาก ตลอดจนดูแลธุรกรรมตลาดเงินให้ดำเนินการได้อย่างราบรื่น

   ธปท. จะทำงานร่วมกับสถาบันการเงิน สมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารต่างประเทศ และสภาสถาบันการเงินเฉพาะกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าบริการทางการเงินหลักของประเทศจะดำเนินต่อไปได้ในกรณีที่สถานการณ์การระบาดรุนแรงขึ้น