ย้อนประวัติศาสตร์ Pandemic (โรคระบาดใหญ่) สะเทือนโลก

ย้อนประวัติศาสตร์ Pandemic (โรคระบาดใหญ่) สะเทือนโลก

ย้อนดูประวัติศาสตร์บรรดาโรคระบาดใหญ่ร้ายแรงทั่วโลก ซึ่งคร่าชีวิตประชากรนับล้านคน รวมถึงการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศล่าสุดให้เป็น “การระบาดใหญ่” (Pandemic) มาดูกันว่านับตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 เกิดโรคระบาดร้ายแรงอะไรบ้าง

ในขณะที่เหล่านักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยด้านการแพทย์ใช้เวลาหลายปีในการจำแนกความแตกต่างเกี่ยวกับคำนิยามของ Pandemic กับ Epidemic แต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนเห็นตรงกันคือคำว่า Pandemic หมายถึง การเกิดการแพร่ระบาดของโรคที่ลุกลามเกินกว่าที่คาดไว้ว่าอาจจะจำกัดวงอยู่ในภูมิภาคเดียว

ที่ผ่านมา อหิวาตกโรค กาฬโรค โรคฝีดาษ และไข้หวัดใหญ่ เป็นส่วนหนึ่งในโรคที่สังหารประชากรโลกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และการระบาดของโรคเหล่านี้ซึ่งลุกลามข้ามพรมแดนไปในหลายประเทศ สามารถนิยามได้อย่างเหมาะสมว่าเป็นการระบาดใหญ่ หรือ Pandemic โดยเฉพาะโรคฝีดาษ ที่คร่าชีวิตผู้ป่วย 300-500 ล้านคนในรอบ 12,000 ปีที่ผ่านมา

สำหรับโรคอีโบลาที่ระบาดหนักเมื่อไม่กี่ปีก่อนและคร่าชีวิตผู้ป่วยหลายพันคน จำกัดวงอยู่แต่ในแถบแอฟริกาตะวันตก ขณะนี้จึงยังถือเป็นโรคระบาดธรรมดา หรือ Epidemic และไม่นับรวมอยู่ในรายชื่อโรคระบาดรุนแรงดังต่อไปนี้

  • โควิด-19 (ธ.ค. 2562-ปัจจุบัน)

โรคโควิด-19 เริ่มระบาดในจีน ที่เมืองอู่ฮั่น ซึ่งมีประชากรกว่า 11 ล้านคน หลังจากเก็บตัวอย่างไวรัสจากคนไข้กลุ่มแรกไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ จีนและ WHO ระบุตรงกันว่า ไวรัสชนิดนี้คือ “เชื้อไวรัสโคโรน่า” ซึ่งถือเป็นสายพันธุ์ใหม่ หลังจากก่อนหน้านี้พบไวรัสโคโรน่ามาแล้ว 6 สายพันธุ์ ที่เคยมีการระบาดในมนุษย์ ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังระบาดจึงเป็นสายพันธุ์ที่ 7

จนขณะนี้ยังไม่มีใครทราบแน่ชัดถึงแหล่งกำเนิดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ต้นตอโรคโควิด-19 หลังจากเคยมีข้อสันนิษฐานว่า ไวรัสชนิดนี้อาจเริ่มติดต่อจากสัตว์ป่ามาสู่คน โดยมีต้นตอของการระบาดจากงูเห่าจีน และงูสามเหลี่ยมจีน ที่นำมาวางจำหน่ายในตลาดสดอู่ฮั่น ซึ่งเป็นสถานที่พบผู้ติดเชื้อกลุ่มแรก ๆ

คณะผู้วิจัยคาดว่า งูอาจเป็นสัตว์ตัวกลางที่ส่งต่อเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่จากค้างคาวมาสู่คน เนื่องจากงูพิษที่อยู่ในธรรมชาติล่าค้างคาวในถ้ำเป็นอาหาร แต่ก็ยังคงมีข้อกังขาว่า ไวรัสโคโรน่าปรับตัวให้มีชีวิตอยู่และขยายพันธุ์ในร่างกายของทั้งสัตว์เลือดเย็นและสัตว์เลือดอุ่นได้อย่างไร

ปัจจุบัน สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ลุกลามอย่างรวดเร็วไปยังกว่า 120 ประเทศทั่วโลก มีผู้ป่วยรวมกันกว่า 120,000 คนและผู้เสียชีวิตอีกกว่า 4,600 คน (นับถึงวันที่ 12 มี.ค.) ตัวเลขผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในจีน แต่ขณะนี้ในยุโรปเกิดการระบาดเข้าขั้นรุนแรง นำโดยอิตาลี ซึ่งเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตมากที่สุดนอกจีน อยู่ที่กว่า 12,000 คนและกว่า 800 คนตามลำดับ

  • ไข้หวัดใหญ่ 2009 (2552)

ไข้หวัดใหญ่ 2009 เป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่กลุ่ม เอ (เอช1 เอ็น1) ที่มีรายงานพบเชื้อในคนครั้งแรกเมื่อเดือน เม.ย. 2552 เริ่มแพร่ระบาดในเม็กซิโก และสหรัฐ ก่อนจะแพร่ระบาดไปหลายประเทศทั่วโลก

เชื้อสายพันธุ์นี้มีองค์ประกอบพันธุกรรมที่เป็นผลรวมจากไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์ ไข้หวัดนกที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ และไข้หวัดหมูที่พบในทวีปเอเชีย และยุโรป ทำให้ WHO ต้องเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 เนื่องจากหวั่นวิตกว่า เชื้อเอช1 เอ็น1 อาจจะกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ที่อันตรายยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครทราบว่าเชื้อดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร ที่ไหน และแพร่จากสัตว์มาสู่คนครั้งแรกเมื่อไหร่ และเนื่องด้วยโรคดังกล่าวสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้อย่างรวดเร็ว จึงจัดเป็นโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ที่สำคัญในช่วงเวลานั้น

สำนักงานควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ (ซีดีซี) คาดการณ์ว่า โรคไข้หวัดใหญ่ 2009 คร่าชีวิตประชากรโลกรวมกว่า 280,000 คน ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตที่ WHO ยืนยันอยู่ที่ไม่ถึง 20,000 คนทั่วโลก

158401540872

  • เอชไอวี/เอดส์ (ระบาดสูงสุด 2548-2555)

หลังจากถูกพบครั้งแรกในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกเมื่อปี 2519 โรคเอชไอวี/เอดส์ ได้วิวัฒนาการตัวเองอย่างมากจนระบาดไปทั่วโลก และคร่าชีวิตผู้ป่วยกว่า 36 ล้านคนนับตั้งแต่ปี 2524

ปัจจุบัน ในจำนวนผู้ที่ใช้ชีวิตร่วมกับไวรัสเอชไอวี 31-35 ล้านคนทั่วโลก ส่วนใหญ่อยู่ในแถบซับซาฮาราของแอฟริกา หรือประมาณ 21 ล้านคน

หลังเกิดการตื่นตัวต่อโรคเอดส์มากขึ้น วงการแพทย์ทั่วโลกก็พัฒนาวิธีการที่ช่วยให้ไวรัสเอชไอวีสามารถควบคุมได้ และทำให้หลายคนที่ติดเชื้อนี้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขมากขึ้น ระหว่างปี 2548-2555 จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์/เอชไอวีทั่วโลก ลดลงจาก 2.2 ล้านคน มาอยู่ที่ 1.6 ล้านคนต่อปี

  • ไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง (2511)

โรคไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง ซึ่งเกิดจากเชื้อไข้หวัดสายพันธุ์ เอช3 เอ็น2 ถูกพบครั้งแรกในเกาะฮ่องกงเมื่อเดือน ก.ค. 2511 ก่อนลุกลามไปยังเวียดนามและสิงคโปร์ใน 3 เดือน และขยายวงไปยังอินเดีย ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ยุโรป แอฟริกา อเมริกาใต้ และสหรัฐ

เชื้อไข้หวัดนี้ ซึ่งกลายพันธุ์จากโรคไข้หวัดใหญ่เอเชียที่ระบาดก่อนหน้าราว 10 ปี เป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์น้อยกว่า เมื่อเทียบกับไข้หวัดสเปนและไข้หวัดเอเชีย และแม้จะมีอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างต่ำเพียง 5% แต่ก็ทำให้ประชากรโลกเสียชีวิตไปกว่า 1 ล้านคน

สำหรับในฮ่องกง จุดเริ่มต้นการระบาด มีผู้ป่วยมากถึง 500,000 คน หรือคิดเป็น 15% ของประชากรฮ่องกงในเวลานั้น ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตไม่มากนัก นักวิจัยสันนิษฐานว่า อาจเป็นเพราะร่างกายพลเมืองฮ่องกงมีภูมิคุ้มกันจากเมื่อครั้งเจอกับไข้หวัดใหญ่เอเชียระบาด

  • ไข้หวัดใหญ่เอเชีย (2499-2501)

ไข้หวัดใหญ่เอเชียเป็นการระบาดรุนแรงครั้งใหญ่ของเชื้อไข้หวัดกลุ่มเอ (เอช2 เอ็น2) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากในจีนเมื่อปี 2499 และมาหยุดระบาดเมื่อปี 2501 ในระยะเวลา 2 ปีนี้เอง ไข้หวัดใหญ่เอเชียลุกลามจากกลุ่มชาวจีนในมณฑลกุ้ยโจว ไปยังสิงคโปร์ ฮ่องกง และสหรัฐ

ตัวเลขคาดการณ์จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่นี้ของแต่ละแหล่งแตกต่างกันออกไป บางแหล่งคาดว่าสูงถึง 4 ล้านคน แต่ WHO ยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิตไว้ที่ราว 2 ล้านคนทั่วโลก ในจำนวนนี้เกือบ 70,000 คนอยู่ในสหรัฐประเทศเดียว

  • ไข้หวัดใหญ่สเปน (2461)

ไข้หวัดใหญ่สเปนซึ่งระบาดรุนแรงทั่วโลกระหว่างปี 2461-2463 ถือเป็นหนึ่งในโรคร้ายที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะทำให้มีผู้ติดเชื้อราว 1 ใน 3 ของประชากรโลกในยุคนั้น และคร่าชีวิตผู้ป่วย 20-50 ล้านคน

ในจำนวนผู้ป่วย 500 ล้านคนที่ติดเชื้อในปี 2461 มีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ราว 10-20% และมีผู้เสียชีวิตมากถึง 25 ล้านคนเฉพาะในช่วง 25 สัปดาห์แรก

สิ่งที่ทำให้ไข้หวัดใหญ่สเปนแตกต่างจากไข้หวัดใหญ่อื่น ๆ คือกลุ่มผู้เสียชีวิต โดยปกติไข้หวัดใหญ่มักคร่าชีวิตกลุ่มเด็กและคนสูงอายุ หรือผู้ป่วยที่อ่อนแออยู่แล้วมากกว่ากลุ่มอื่น แต่ไข้หวัดใหญ่สเปนเริ่มจากการคร่าชีวิตผู้ใหญ่วัยหนุ่มสาวที่มีสุขภาพแข็งแรง ขณะที่กลุ่มเด็กและคนที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนกว่า กลับเสียชีวิตน้อยกว่ากลุ่มอื่น

  • อหิวาตกโรค ครั้งที่ 6 (2453-2454)

อหิวาตกโรคแพร่ระบาดบนโลกมาแล้วหลายครั้งตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน และในครั้งที่ 6 ซึ่งเป็นการระบาดรุนแรงครั้งล่าสุด มีต้นกำเนิดจากในอินเดียซึ่งมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้กว่า 800,000 คน ก่อนลุกลามไปยังตะวันออกกลาง อเมริกาเหนือ ยุโรปตะวันออก และรัสเซีย

โรคอหิวาต์ครั้งนี้ยังเป็นต้นตอของการระบาดครั้งสุดท้ายในสหรัฐด้วยในช่วงปี 2453-2454 เจ้าหน้าที่สาธารณสุขสหรัฐ เรียนรู้บทเรียนจากในอดีต และสามารถแยกตัวผู้ติดเชื้อได้อย่างรวดเร็ว ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้เพียง 11 คนในประเทศ

ภายในปี 2466 ผู้ป่วยอหิวาตกโรคทั่วโลกลดลงอย่างมาก แต่ก็ยังคงมีการระบาดอย่างต่อเนื่องในอินเดีย

--------------------------------------------

ที่มา:

https://www.mphonline.org/worst-pandemics-in-history/
http://news.discovery.com/human/health/10-worst-epidemics-130917.htm
http://www.cbc.ca/news/technology/cholera-s-seven-pandemics-1.758504
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3867475/
http://content.time.com/time/specials/packages/completelist/0,29569,2027479,00.html
http://www.infoplease.com/cig/dangerous-diseases-epidemics/bubonic-plague.html
http://www.who.int/csr/resources/publications/surveillance/plague.pdf
http://healthvermont.gov/prevent/Plague.aspx
http://www.historylearningsite.co.uk/black_death_of_1348_to_1350.htm
http://www.loyno.edu/~history/journal/1996-7/Smith.html
http://www.nytimes.com/2010/11/01/health/01plague.html?_r=0
http://news.bbc.co.uk/2/hi/health/4381924.stm
http://www.loyno.edu/~history/journal/1996-7/Smith.html
http://www.infoplease.com/cig/dangerous-diseases-epidemics/smallpox-12000-years-terror.html
http://www.who.int/mediacentre/factsheets/fs360/en/index.html
http://www.avert.org/worldstats.htm
http://www.cdc.gov/hiv/statistics/basics/
http://www.history.com/topics/1918-flu-pandemic
http://www.infoplease.com/cig/dangerous-diseases-epidemics/smallpox-12000-years-terror.html
http://www.who.int/bulletin/volumes/89/7/11-088815/en/