ครม.ไฟเขียวปล่อยกู้วงเงิน 500 ล้านบาท รับมือภัยแล้ง

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วานนี้ (24ก.พ.) เห็นชอบโครงการสนับสนุนเงินทุนเพื่อสร้างระบบน้ำในไร่ของสมาชิกสถาบันเกษตรกร วงเงินรวม 508.2 ล้านบาท โดยใช้งบประมาณจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร เพื่อปล่อยกู้ให้กับเกษตรกรที่เป็นสมาชิกกองทุนฯโดยไม่คิดดอกเบี้ย เป็นระยะเวลา 6 ปี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ 

โดยการจัดสรรวงเงินกู้จำนวนดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดสรรเงินทุนให้สมาชิกกู้ยืม นำไปพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่เกษตรของตนโดยไม่คิดดอกเบี้ย ส่งเสริมการจัดระบบพื้นที่เกษตรให้มีแหล่งน้ำเป็นของตนเองลดการพึ่งพาน้ำจากธรรมชาติและระบบชลประทาน สนับสนุนให้เกษตรกรสามารถประกอบอาชีพได้ต่อเนื่องทั้งในและนอกฤดูกาล ปลูกพืชหลากหลายชนิด เลี้ยงสัตว์และประมง เป็นระบบเกษตรแบบผสมผสานตามทฤษฎีใหม่ ด้วยวิธีการจัดสรรให้สมาชิกกู้ยืมรายละไม่เกิน 50,000 บาท เป็นค่าใช้จ่ายในการขุดสระเก็บน้ำในพื้นที่ 1 ไร่ ความลึก 2 เมตร หรือขุดเจาะบ่อบาดาล เจาะจนถึงระดับที่มีน้ำ พร้อมจัดซื้ออุปรกรณ์ที่เกี่ยวข้อง หากมีค่าใช้จ่ายเกิน 50,000 บาท สมาชิกต้องสมทบเอง 

ทั้งนี้ โครงการฯนี้ตั้งเป้าหมายจะมีสมาชิกเข้าร่วม 10,000 ราย เป็นสถาบันเกษตรกร 350 แห่ง ใน 51 จังหวัด โดยเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการต้องมีคุณสมบัติดังนี้ สมาชิกต้องไม่เคยรับการสนุบสนันจากโครงการอื่นของรัฐในลักษณะเดียวกัน มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิ์ทำกินในพื้นที่อย่างถูกกฎหมาย หากเป็นที่เช่าทำกิน ต้องมีระยะเวลาเช่าครอบคลุมระยะเวลาโครงการและต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ทำกินรายละ 10 ไร่ หรือรวมกับสมาชิกทุกรายในสหกรณ์นั้นๆแล้วเฉลี่ยได้รายละ 10 ไร่ โดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการ รวม 6 ปี (พ.ศ.2563 – 2568)

สำหรับเงื่อนไขการกู้เงินของสมาชิก ได้แก่ การชำระเงินกู้ของสมาชิก ใน 2 ปีแรก (ปี 2563 -2564) เป็นระยะเวลาปลอดหนี้ เพื่อให้สมาชิกได้ใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำ โดยจะเริ่มชำระเงินงวดที่ 1 ในปี 2565 ไปจนถึงปี 2568 รวม 4 ปี ปีละอย่างน้อย 25% ของเงินกู้ยืมที่ได้รับอนุมัติ หากสมาชิก/สถาบันเกษตรกรผิดนัดชำระหนี้ กรมส่งเสริมสหกรณ์คิดอัตราดอกเบี้ยปรับ3% ต่อปี จนกว่าจะชำระหนี้หมด และกรมส่งเสริมสหกรณ์ผิดนัดชำระหนี้ กองทุนสงเคราะห์เกษตรกรคิดอัตราดอกเบี้ยปรับ 3 %ต่อปี จนกว่าจะชำระหนี้หมด

“การสร้างแหล่งน้ำในพื้นที่การเกษตร นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพของเกษตรกรแล้ว ยังสามารถใช้เป็นฐานข้อมูล Big Data ในการจัดทำแผนที่พิกัดจุดแหล่งน้ำสำรองของเกษตรกรแต่รายละ เพื่อใช้ประโยชน์ในการติดตามประเมินผลและต่อยอดโครงการอื่นๆ ของรัฐบาลในอนาคต”