เปิด 5 ข้อหาฉกรรจ์ซักฟอก 6 รมต.ประยุทธ์

เปิด 5 ข้อหาฉกรรจ์ซักฟอก 6 รมต.ประยุทธ์

เปิด 5 ข้อหาฉกรรจ์ซักฟอก 6 รมต.ประยุทธ์

เมื่อวันที่ 24 ก.พ.63 นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ขอกล่าวสาระสำคัญที่ระบุไว้ในญัตติที่ฝ่ายค้านได้ยื่นต่อท่านประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2563 เพื่อให้เปิดประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาญัตติดังกล่าว ซึ่งต้องขอกราบขอบคุณท่านประธานสภาผู้แทนราษฎรไว้ ณ โอกาสนี้

158253667348

สาระสำคัญของญัตติ มีดังนี้...

ข้าพเจ้าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้มีรายนามท้ายญัตตินี้  ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ขอเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 มาตรา 151 ตามรายนามดังต่อไปนี้   

1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

2.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี

3.นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี

4.พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

5.นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

และ 6.ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีพฤติการณ์และเรื่องที่จะอภิปราย ดังนี้

158253671110

1) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้ไม่ยึดมั่นและศรัทธาต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ล้มล้างรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ กระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ใช้อำนาจที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรม ละเมิดหลักนิติธรรมและสิทธิเสรีภาพของบุคคลอย่างกว้างขวาง เป็นผู้นำประเทศที่กร่างเถื่อน มองคนเห็นต่างเป็นศัตรู ปิดปากผู้ที่มีความเห็นต่าง ชอบก่นด่าเมื่อถูกซักถาม เมื่อได้อำนาจมาโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ก็สร้างกลไกในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อมุ่งสืบทอดอำนาจของตนเอง ปล่อยให้มีการทุจริตเต็มบ้านเต็มเมือง ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง บริวารและพวกพ้อง เข้าข้างคนชั่วที่เป็นพวก โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ และความผาสุกของประชาชนโดยรวม

บริหารราชการแผ่นดินโดยขาดความรู้ความสามารถ ผิดพลาดบกพร่องอย่างร้ายแรง ขาดคุณธรรม จริยธรรม แทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการประจำ และองค์กรในกระบวนการยุติธรรม เรียกได้ว่าเป็นยุคยุติธรรมหมดตรง บังคับใช้กฎหมายโดยเลือกปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลักความเสมอภาค ไม่เคารพและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ไม่ปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ เปิดเผย ไม่มีความรอบคอบและระมัดระวังในการดำเนินกิจการต่างๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนส่วนรวม มีการกระทำอันเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ทุจริตต่อหน้าที่ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

ไม่รักษาวินัยการเงินการคลัง ใช้งบประมาณของรัฐสร้างคะแนนนิยมให้กับตนเองและพรรคการเมือง โดยมิได้คำนึงถึงภาระด้านงบประมาณของประเทศ  เป็นยุคที่เงินกำลังจะหมดคลัง ไม่ยึดตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ลุแก่อำนาจ ขาดภาวะผู้นำ ไม่เสริมสร้างให้ทุกภาคส่วนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างเป็นธรรม ผาสุก และสามัคคีปรองดองกัน แต่กลับสร้างความขัดแย้งให้ขยายวงกว้าง ล้มเหลวและไร้ประสิทธิภาพในการดูแลด้านเศรษฐกิจ  ส่งผลให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจกับประชาชนทุกภาคส่วน  จนก่อให้เกิดสภาพ "รวยกระจุก จนกระจาย" ประชาชนสิ้นหวัง ให้ความสำคัญกับการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์  มากกว่าปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชน

ล้มเหลวในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ หลอกลวงประชาชน ไม่ทำตามนโยบายที่พรรคการเมืองที่สนับสนุนตนหาเสียงไว้ ทั้งเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ ราคาพืชผลทางการเกษตร และการลดภาษีเงินได้ ไม่มีความชื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ การบริหารราชการแผ่นดินของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่งผลกระทบและความเสียหายแก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างกว้างขวาง เป็นยุคที่ทุจริตเฟื่องฟู น้ำกำลังจะหมดเขื่อน มวลอากาศเป็นพิษเต็มเมือง เศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง หากปล่อยให้บริหารราชการแผ่นดินต่อไป จะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง จนประเทศถึงแก่ความล่มจมได้

2) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ไม่มีความชื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ แสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองและพวกพ้อง ใช้งบประมาณของรัฐเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเอง มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

3) นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบด้านกฎหมาย ได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่เข้าไปก้าวก่ายแทรกแซง การปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรในกระบวนการยุติธรรม เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและผู้อื่น เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายด้านการเงินแก่รัฐจำนวนมาก บังคับใช้และตีความกฎหมายโดยไม่ยึดหลักการและบรรทัดฐานที่ถูกต้อง จนทำให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นเรื่องของอภินิหาร ทั้งนี้ เพื่อช่วยเหลือและเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง ชี้นำการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐและองค์กรอิสระ และไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

4) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย  บริหารราชการแผ่นดินผิดพลาด บกพร่องอย่างร้ายแรง ล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ ขาดคุณธรรมและจริยธรรม มีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ ฉ้อฉล ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง บริวารและพวกพ้อง กลั่นแกล้งข้าราชการประจำ ก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ประจำของข้าราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตและประพฤติมิชอบในหน่วยงานที่กำกับดูแลอย่างกว้างขวาง จงใจปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ละเว้นไม่ดำเนินการตามกฎหมาย ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบเกี่ยวกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และไม่มีความชื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

5) นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ บริหารราชการแผ่นดินผิดพลาด บกพร่องอย่างร้ายแรง ล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ ขาดคุณธรรมและจริยธรรม มีพฤติการณ์ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ประจำของราชการเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง โดยมิใช่อำนาจหน้าที่ของตนตามที่กฎหมายบัญญัติ แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นไปตามครรลองที่กำหนดไว้ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทข้ามชาติ ส่อว่าจงใจปฏิบัติหน้าที่  และใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง นำพาชาติเข้าสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศ  และไม่มีความชื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

6) ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ บริหารราชการแผ่นดินผิดพลาด บกพร่องอย่างร้ายแรง ล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ ขาดคุณธรรมและจริยธรรม ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เข้าสู่ตำแหน่งโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ  ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล ปกป้องพวกพ้องโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติ

วันนี้ 24 ก.พ.63 เป็นวันที่ฝ่ายค้านจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องเปิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งถือเป็นการอภิปรายที่มีความสำคัญ ที่ฝ่ายค้านจะดำเนินมาตรการสูงสุดเพื่อตรวจสอบรัฐบาล และตั้งข้อกล่าวหาต่อรัฐบาลว่า ไม่อาจไว้วางใจให้บริหารประเทศต่อไปได้ เนื่องจากความไร้ประสิทธิภาพ และความล้มเหลวในการบริหารประเทศรวมทั้ง ความผิดที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอรัปชั่น การเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้อง และการใช้อำนาจโดยมิชอบซึ่งได้ก่อให้เกิด ความล้มเหลว 5 ประการต่อประเทศชาติ ดังต่อไปนี้

ประการที่ 1.ความล้มเหลวต่อการสร้างความเชื่อมั่นการเมืองในระบอบประชาธิปไตย

การเมืองในระบอบประชาธิปไตยตามหลักสากลนั้นจะทำให้ผู้คนทั้งในประเทศและต่างประเทศมีความเชื่อมั่นในระบบ มั่นใจต่อหลักนิติรัฐ นิติธรรม แต่การเมืองภายใต้นับตั้งแต่ที่พวกท่านเข้ามาบริหารบ้านเมือง ซึ่งได้สร้างกลไกต่าง ๆ เพื่อรักษาอำนาจเฉพาะพวกพ้อง สร้างกติกาที่กล่าวอ้างว่าเป็นประชาธิปไตย แต่เป็นที่กังขาของผู้คนทั้งสังคม

นับตั้งแต่การกำหนดกฎกติการัฐธรรมนูญที่มีการพูดกันในหมู่พวกท่านว่า เป็น “รัฐธรรมนูญที่ร่างมาเพื่อพวกเรา” ซึ่งอาศัยเสื้อคลุม “ประชาธิปไตย” มากล่าวอ้าง อย่างเช่น ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของท่านที่ได้มาในครั้งนี้ก็เพราะมือที่สนับสนุนจาก ส.ว.ทั้งหมดที่ท่านและพวกพ้องแต่งตั้งกันขึ้นมาเอง

"ผมอยากจะบอกว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของท่านในวันนี้ มิได้มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ผมอยากจะบอกว่าประชาชนส่วนใหญ่ที่ลงคะแนนเค้าไม่ได้เลือกท่านให้มาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่เพราะเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญที่พวกท่านสร้างขึ้นมาเพื่อสืบทอดอำนาจต่างหากที่นำพาท่านให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง"

ท่านอย่าอ้างว่ารัฐธรรมนูญผ่านประชามติ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านประชามติแบบมัดมือชก แบบมีคำถามพ่วง เอาคนเห็นต่างไปปรับทัศนคติ ดำเนินคดีกับผู้รณรงค์ไม่เห็นด้วยในศาลทหารด้วยเงื่อนไขกลไกทางรัฐธรรมนูญที่พวกท่านสร้างขึ้นมา ได้บั่นทอนความเชื่อมั่นของนานาประเทศที่มีต่อการเมืองในระบอบประชาธิปไตยประเทศเรา ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความมั่นใจในการลงทุน รวมทั้ง การเจรจาประโยชน์ต่าง ๆ ที่มีผลต่อประเทศ เพราะวันนี้ เกือบทุกประเทศในโลกล้วนไม่เปิดใจยอมรับประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แม้วันนี้ประเทศเราอาจจะดูดีขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่มีการเลือกตั้ง แต่ประชาธิปไตยจอมปลอมแบบที่พวกท่านช่วยกันสร้างขึ้นนั้น ได้ก่อปัญหาต่อเนื่องกันมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นความสับสนในการคิดคะแนนเพื่อให้ได้ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ การนำเข้าถอดออกชื่อ ส.ส. เพราะผลจากคะแนนเลือกตั้งซ่อม  และปัญหาอีกมากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่สร้างความไม่มั่นคงแน่นอนให้กับการเมืองบ้านเราในเมื่อประเทศที่มีการเมืองไม่มั่นคง ล้มเหลวในการสร้างความเชื่อมั่นต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย แล้วจะทำให้ประเทศเราเดินต่อไปข้างหน้าในสังคมโลกอย่างภาคภูมิได้อย่างไร

"ผมจึงไม่อาจไว้วางใจให้พวกท่านอยู่ในตำแหน่งกันต่อไป เพื่อกร่อนเซาะการเมืองระบอบประชาธิปไตยของประเทศให้ถดถอยผิดรูปผิดร่าง ให้อับอายต่อสายตาชาวโลก และที่สำคัญ ผมไม่อาจไว้วางใจให้พวกท่านส่งต่อประชาธิปไตยจอมปลอมไปถึงคนรุ่นลูกรุ่นหลานที่เป็นอนาคตของชาติ"

ประการที่ 2 ความล้มเหลวในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ

• นับแต่การใช้กลไกที่พวกท่านสร้างขึ้น ออกแบบและบังคับใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับ

“เพื่อพวกเรา” พวกท่านได้ทำให้หลักการแห่ง “ความยุติธรรม” แปลงร่างเป็น “หลักกูและพวกพ้อง” อย่างไม่รู้สึกอับอาย  มีตัวอย่างผลงานมากมายที่ทำลายหลักการและมาตรฐาน อันกลายเป็นภาพลักษณ์อัปยศที่ทำให้ไม่อาจเชื่อถือยอมรับได้ เช่น

• การตีความข้อกฎหมายกับคะแนนปัดเศษ เพื่อให้ระบบพรรคการเมืองเสื่อมทรุด และเพื่อเพิ่มช่องทางให้ได้พรรคเล็กมาหนุนเสริมอำนาจตน

• การไม่ชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ ตามพระราชบัญญัติงบประมาณ ทั้งที่มีกฎหมายกำหนดไว้

• การนำเอาบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ามีคดี ต้องโทษเกี่ยวกับยาเสพติดในต่างประเทศ เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีในคณะรัฐบาล

• การให้อภิสิทธิ์กับพรรคแกนนำรัฐบาลบางพรรค สามารถจัดระดมทุนเข้าพรรคได้อย่างเอิกเกริก ด้วยการรับบริจาคจากหน่วยงานรัฐและเอกชนรายใหญ่ เป็นเงินกว่า 600 ล้านบาท ทั้งที่กรณีนี้เป็นการกระทำที่เข้าข่ายมีความผิดตามกฎหมาย แต่แม้ว่าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ก็ยังใช้กลไกและข้ออ้างต่างๆ แบบข้างๆ คูๆ เพื่อให้รอดพ้นความผิด ที่เลวร้ายที่สุด คือ การใช้คดีความเป็นเครื่องมือกลั่นแกล้ง กดดัน บุคคลบางกลุ่มเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อพวกท่าน โดยไม่ได้คำนึงว่าการกระทำเช่นนี้จะทำลายหลักแห่งความยุติธรรม และหลักการทางกฎหมายของประเทศอย่างรุนแรงเพียงใด

"วันนี้ สังคมไทยเราจึงได้เห็นการใช้กลไกต่างๆ “ยกเว้น” โทษความผิดของผู้มีอำนาจและพวกพ้อง อย่างต่อเนื่อง พวกท่านกำลังทำเรื่องผิดให้เป็นเรื่องถูก ทำเรื่องผิดปกติให้กลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งเป็นเรื่องที่รุนแรงต่อบรรทัดฐานที่ถูกต้องในทุกด้านผมอยากจะบอกว่าพวกท่านเป็นคนที่เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ ที่ต้องการทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์เฉพาะหน้าแห่งตน โดยไม่คิดถึงอนาคตของประเทศชาติในวันข้างหน้า ผมจึงไม่อาจไว้วางใจพวกท่านให้บริหารประเทศได้"

ประการที่ 3.ความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ

วันนี้รัฐบาลมีหัวหน้าทีมเศรษฐกิจชื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งมีความรู้และประสบการณ์อย่างช่ำชองทางด้านการทหาร เข้ามานำทีมเพื่อต่อสู้กับสงครามทางเศรษฐกิจที่ต้องอาศัยองค์ความรู้และประสบการณ์ที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับงานด้านการทหาร เรากำลังเอาเศรษฐกิจประเทศที่กำลังวิกฤติ ให้อยู่ในมือของคนที่ไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจเลย จนในหลาย ๆ ครั้งที่เราได้เห็น รัฐบาลที่ทำไปโดยไม่ได้คิด ยกตัวอย่างเช่น  เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่รัฐบาลออกมาขายหน้ากากอนามัยเสียเอง...ท่านคิดได้อย่างไรครับ แทนที่จะแจกเพื่อให้กลไกการตลาดเปลี่ยน ช่วยแก้ปัญหาการกักตุนสินค้า หรือบางเรื่องที่คิดแล้วป่าวประกาศบอกประชาชนเป็นนโยบายตอนหาเสียงแต่ก็ไม่ได้ทำ

"ผมไม่แน่ใจว่าท่านทราบหรือไม่ว่า ภายใต้การบริหารของท่าน ท่านทำให้ประเทศที่กำลังวิ่งนำหน้าเพื่อนบ้าน ล้มสะดุดขาตัวเองบาดเจ็บ แบบลุกขึ้นสู้ต่อไม่ไหว เราแปลงสภาพจากประเทศผู้นำเป็นประเทศผู้ตาม ล้มลุกคลุกคลาน ล้าหลัง ผมนับถือศักยภาพในการทำลายประเทศของท่านจริง ๆ ครับ ภายใน 6 ปี ท่านทำลายสิ่งที่เราร่วมกันสร้างมาจนหมดสิ้น"

ท่านทราบหรือไม่ว่า ด้วยความสามารถของท่าน ท่านทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่เติบโตต่ำ เกือบจะต่ำที่สุดในโลก ซึ่งขายหน้ายิ่งนัก ไตรมาส 4 ที่ผ่านมาโตต่ำสุดในรอบ 5 ปี และคาดการณ์ GDP ปีหน้า โตเพียงครึ่งหนึ่งของศักยภาพประเทศที่ 3.9% ผลผลิตด้านอุตสาหกรรมดิ่งเหว

รายได้เกษตรกรที่เป็นอาชีพหลักของประเทศต่ำสุดในรอบ 7 ปี ท่านทำให้ครัวเรือนที่เป็นหนี้ มีสัดส่วนหนี้ต่อรายได้สูงถึง 97.7% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เงินออมของพี่น้องประชาชนต่ำสุดในรอบ 9 ปี รายได้และการใช้จ่ายของประชาชน ลดลงครั้งแรกในรอบ 9 ปี ด้วยฝีมือการบริหารเศรษฐกิจของท่านและพวกพ้อง วันนี้ทุกภาคส่วนในประเทศไทยลำบากยากแค้นทุกหย่อมหญ้า

ช่วงเวลาที่สะท้อนให้เห็นความผิดพลาดที่ต่อเนื่อง จนกลายเป็นความล้มเหลวอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจไทยเป็น 4 ช่วงใหญ่ๆ ดังนี้

• ระยะที่ 1 พ.ศ. 2557-2558 เป็นช่วงทำลายเศรษฐกิจฐานราก ทันทีที่ท่านยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ท่านประกาศยกเลิกมาตรการสนับสนุนสินค้าการเกษตรเกือบทั้งหมดแบบกระทันหัน ท่านกลัวถูกกล่าวหาว่าท่านเป็นพวก “ประชานิยม” เพราะท่านด่าเขาไว้เยอะ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าสิ่งที่ท่านทำไปในวันนั้น ได้ทำลายกำลังซื้อส่วนใหญ่ของประเทศ ท่านทำร้ายพี่น้องเกษตรกรส่วนใหญ่ และจนถึงวันนี้พวกเขาก็ยังไม่มีกำลังฟื้นตัว กำลังซื้อของประเทศเราจึงฟุบจนถึงขีดอันตราย ซึ่งยังหาหนทางแก้ไขปัญหาไม่ได้

• ระยะที่ 2 พ.ศ. 2559-2560 ภายหลังจากการยึดอำนาจ ทันทีที่อำนาจท่านเริ่มมั่นคง ท่านก็เริ่มแสวงหาประโยชน์ให้พวกพ้อง มาตรการต่างๆในช่วงนั้น มุ่งเป้าอย่างเดียวคือ ทำอย่างไรจึงจะเป็นประโยชน์ต่อพวกพ้องของท่าน บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ที่มีส่วนได้ส่วนเสียและใกล้ชิดกับรัฐบาลได้ประโยชน์กันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็น โครงการ EEC / โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ/ การก่อสร้างรถไฟ 3 สนามบิน หรือ Mega Project ต่างๆ ล้วนแล้วแต่เอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจขนาดใหญ่ไม่กี่ราย ท่านอาจจะคิดว่าการแก้ปัญหาเศรษฐกิจต้องรดน้ำไปจากยอด ให้ธุรกิจรายใหญ่เติบโตแล้วค่อยล้นไปที่ราก แต่วันนี้พิสูจน์แล้วว่าพวกท่านคิดผิด พวกท่านผิดพลาด เพราะพวกท่านเพียงอาศัยมือของพี่น้องประชาชนที่ยากจน ผ่านเม็ดเงินมหาศาล ไปให้เจ้าสัวอภิมหาเศรษฐี โดยไม่ได้ใส่ใจเงินในกระเป๋าของพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่แม้แต่น้อย

• ระยะที่ 3 พ.ศ. 2561-2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนและหลังเลือกตั้ง เรียกช่วงนี้ว่า “สารพัดแจกมั่วซั่ว เพื่อการสืบทอดอำนาจ” ด้วยความอยากมีอำนาจของท่าน และกลัวการสูญเสียอำนาจนั้นไป ท่านได้ออกแบบมาตรการเสมือนการซื้อเสียงล่วงหน้า เช่น การเพิ่มวงเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการชิมช็อปใช้เฟสต่างๆ โครงการแจกเงินเที่ยว โครงการบ้านดีมีดาวน์ เหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงเลือกตั้ง ไม่ผิดเลยหากจะกล่าวหาว่าเป็นการเอาเงินภาษีประชาชน มาซื้อเสียงเพื่อตอบสนองความอยากในการสืบทอดอำนาจของพวกท่าน ท่านอาศัยช่องว่าง ตีความแบบศรีธนญชัยว่า ท่านไม่ใช่รัฐบาลรักษาการ มีอำนาจเต็ม แจกเบี้ยสูงอายุ แจกบัตรคนจน เพิ่มเบี้ย อสม.ก่อนการเลือกตั้งเพียงไม่กี่วัน โดยท่านไม่มีความละอายใดๆ เลยว่า ท่านเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองที่ลงเลือกตั้ง

• ระยะที่ 4 พ.ศ. 2562-2563 ทุ่มให้สินเชื่อแต่ไร้กำลังซื้อ เพราะท่านไม่เข้าใจว่าช่วงเวลาไหนประเทศไทยต้องการอะไร ท่านทุ่มสินเชื่อจำนวนเป็นแสนแสนล้าน แต่ท่านไม่รู้หรือว่าปัญหาของเอกชนคือ ไม่มีคนจะซื้อของที่พวกเขาผลิต ไม่ว่าจะเป็นโครงการประชารัฐสร้างไทย มาตรการต่อเติมเสริมทุน SMEs สร้างไทย ท่านทำให้เศรษฐกิจพังพินาศจนประเทศไม่สามารถขับเคลื่อนได้โดยกำลังซื้อ แต่ท่านกลับเอาเงินมาให้สินเชื่อ ซึ่งไม่มีประโยชน์อันใดต่อธุรกิจเพราะขายไม่ได้ แต่ประโยชน์กลับตกไปสู่มือเอกชนที่แข็งแรง ที่ใกล้ชิดกับพวกท่าน

การดำเนินงานทั้ง 4 ระยะที่กล่าวมานี้ เป็นภาพสะท้อนถึงความผิดพลาดของการบริหารเศรษฐกิจของหัวหน้าทีมเศรษฐกิจและคณะ จะด้วยความไม่รู้ มือไม่ถึง ไร้ศักยภาพ หรือจะด้วยผลประโยชน์แอบแฝงของพวกพ้อง ...แต่ท่านได้ทำลายประเทศที่ท่านพูดเสมอว่าท่านรัก ท่านได้ทำลายชีวิตของประชาชน ทำลายศักยภาพของประเทศ ท่านทำลายความเชื่อมั่นที่มีต่อประเทศโดยการบริหารที่ผิดพลาด เลือกคนที่ไร้ความสามารถมาบริหาร ท่านทำประเทศที่เคยเป็นความหวัง กลายเป็นประเทศสิ้นหวัง ไร้ทิศทาง ท่านได้ใช้เงินงบประมาณประเทศออกแบบมาตรการเพื่อประโยชน์ของพวกพ้อง

ท่านทราบหรือไม่ว่าการบริหารที่ล้มเหลวของท่าน ได้คร่าชีวิตประชาชนที่จากภาวะเศรษฐกิจ อีกกี่ศพจะต้องสังเวยให้กับความไร้ประสิทธิภาพแต่อยากอยู่ในอำนาจของท่าน ลูกของชาวบ้านอีกกี่คนต้องออกจากโรงเรียนเพราะความยากจน ตราบาปที่ท่านทำกับเศรษฐกิจประเทศนี้จะถูกจารึกไว้ว่า คนชื่อพลเอกประยุทธ์ ได้ทำลายความมั่นคงทางเศรษฐกิจประเทศอันเป็นที่รักของพวกเรา ผมจึงไม่อาจไว้วางใจให้ท่านทำความเสียหายด้านเศรษฐกิจให้กับประเทศต่อไปได้ ผมทนไม่ได้ที่จะเห็นประเทศต้องล่มจมเพราะความไร้ประสิทธิภาพของท่าน

ประการที่ 4.ล้มเหลวในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น

ปัญหาการทุจริต คอรัปชั่น ที่หมักหมมต่อเนื่องกันมากว่าหลายปี เกิดขึ้นจากการบริหารที่ของรัฐบาลที่ปราศจากการตรวจสอบ การปราบปรามการทุจริต คอรัปชั่น ถูกยกให้เป็นวาระแห่งชาติ จึงเป็นเพียงเพื่อสร้างภาพ และเป็นเครื่องมือของรัฐบาลที่จะใช้จัดการฝ่ายตรงข้าม แต่ในขณะที่หากเป็นคนในฟากฝั่งรัฐบาลถูกกล่าวหาเรื่องทุจริต กลับมีการปกป้องพวกพ้องอย่างเห็นได้ชัด ละเลยที่จะดำเนินการ ขณะที่ผู้ร้องเรียนถูกเรียกไปปรับทัศนคติ บางคนถูกดำเนินคดี ส่วนองค์กรตรวจสอบต่างๆ ก็มุ่งช่วยเหลือปกปิด หรือทำให้ล่าช้า และสุดท้ายก็เงียบหายไป

"ผมไม่ได้กล่าวหาพวกท่านลอย ๆ เพราะมีข้อมูลตัวเลขจากการศึกษาสำรวจที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อมวลชนมาก่อนหน้านี้ อย่างเช่นผลสำรวจจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่พบว่า ความรุนแรงของปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในยุครัฐบาล ของท่าน เพิ่มขึ้นถึง 37% สูงสุดในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่ปี 2558 และคาดว่าสถานการณ์ทุจริตคอรัปชันในปี 2561 จะเพิ่มขึ้นเป็น 48% ผลการสำรวจยังบอกต่อว่าสถานการณ์คอรัปชันไทยเริ่มมีสัญญาณ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังปี 2558 หลังจากเริ่มมีการจัดซื้อจัดจ้างโครงการลงทุนขนาดใหญ่ โดยพบว่า อัตราการจ่ายใต้โต๊ะปี 2560 อยู่ที่ร้อยละ 5–15 สูงสุดในรอบ 3 ปี นับจากปี 2558  งบประมาณรายจ่ายรัฐบาลปี 2560 จากหยาดเหงื่อภาษีของประชาชน มีวงเงิน 2.932 ล้านล้านบาท ถ้าคอรัปชันไป 5–15% ก็เท่ากับทำไปถึง 146,600 ล้านบาท –439,800 ล้านบาท"

ผลสำรวจยังระบุว่า งบประมาณรายจ่ายรัฐบาลปี 2561 มีวงเงิน 2.9 ล้านล้านบาท ถ้าคอรัปชันไปเท่าเดิม 5–15% เงินภาษีของประชาชนก็จะถูกคอรัปชันไปถึง 145,000–435,000 ล้านบาท ถ้าสองปี ภาษีประชาชนถูกปล้นไปถึง 291,600–874,800 ล้านบาท

"ผมเห็นตัวเลขคอรัปชันแล้วตกตะลึงว่าคอรัปชันกันมหาศาลขนาดนี้เชียวหรือ แล้วที่นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศปราบคอรัปชันทุกวัน รัฐบาลปราบจริงหรือไม่ ถ้าปราบจริงทำไมการทุจริตคอรัปชันปี 2560 จึงสร้างสถิติใหม่สูงสุดในรอบ 3 ปี และอีกข้อมูลหนึ่งที่ยืนยันความล้มเหลวในการปราบทุจริตคอรัปชันของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คือ องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ เผยแพร่ดัชนีภาพลักษณ์การคอรัปชั่นในภาครัฐทั่วโลก ประจำปี 2018/2561 ซึ่งผลปรากฏว่า ประเทศไทยถูกลดอันดับลงจากอันดับที่ 96 เมื่อปี 2560 เป็นอันดับที่ 99"

แต่ที่น่าเศร้าใจที่สุดคือ ความรุนแรงของการคอรัปชั่นกันในกองทัพ การทำธุรกิจหาประโยชน์กันในกองทัพ จนกลายเป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมกราดยิงที่โคราช ผมอยากตั้งคำถามว่า เรื่องเหล่านี้ คนที่เป็นอดีต ผบ.ทบ.ทั้งหลาย ที่วันนี้เป็นทั้งนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยังปล่อยปละละเลย ทำอะไรไม่ได้ แล้วจะมีความจริงใจในการจัดการปัญหาคอร์รัปชั่นของประเทศ อย่างไร

ดังนั้น ผมจึงไม่อาจไม่วางใจให้พวกท่านอยู่ในตำแหน่งเพื่อบริหารประเทศกันต่อไป โดยที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาทุจริตคอรัปชั่นได้ ซ้ำร้ายยังปล่อยให้มีการทุจริตคอรัปชั่นเพิ่มมากขึ้น ท่านอาจจะแกล้งหรี่ตามองไม่เห็น เพราะคนที่ทำเป็นผู้คนที่แวดล้อมท่าน แต่ผมไม่อาจทนเห็นการโกงเงินภาษีประชาชนเป็นแสนล้าน ในวันที่พี่น้องประชาชนอยู่ในสภาวะที่ลำบากยากเข็ญอีกต่อไปได้

ประการที่ 5.ล้มเหลวในภาวะความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรี

เราทราบกันดีว่า ผู้นำเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของงานและองค์กร และภาวะผู้นำมีผลอย่างยิ่งต่อความไว้วางใจและความเชื่อมั่นของคนในองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นผู้นำประเทศในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ภาวะความเป็นผู้นำย่อมมีผลทั้งที่เป็นบวกและเป็นลบ ต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างมาก

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจจะเป็นผู้นำกองทัพที่ดี แต่สำหรับการดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ ผมคิดว่าท่านสอบตกนะครับ เพราะ ท่านอาจจะมีความคุ้นชินกับการบริหารราชการแบบทหารที่ยึดถือว่าอำนาจสูงสุดอยู่ที่ผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุด คำสั่งการเป็นแบบบนลงล่างที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม ไม่ต้องการการทักท้วง หรือ ความเห็นต่าง โดยไม่ได้เข้าใจว่าการบริหารประเทศนั้นต้องการการมีความส่วนร่วมของผู้คนทุกภาคส่วนในการมาช่วยกันคิด ช่วยกันทำ และด้วยความเคยชินกับการใช้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จ หลายครั้งเราจึงได้เห็นพฤติกรรม ของนายกรัฐมนตรี เช่น การทุบโต๊ะ โยนของใส่ผู้สื่อข่าว มองเห็นคนเห็นต่างเป็นศัตรู ชอบก่นด่าเมื่อถูกซักถาม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้คำพูดที่สะท้อนวุฒิภาวะทั้งทางปัญญาและอารมณ์ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในหลายๆ วาระ ที่นอกจากจะไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ยังยิ่งสร้างปัญหาเพิ่มเติมขึ้นไปอีก หลายครั้งคำพูดนั้นก่อให้เกิดผลกระเทือนต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสังคมโลกด้วย เช่น การพูดถึงนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษสองคนถูกฆาตกรรมบนเกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี และล่าสุดเป็นความสะเทือนใจของคนไทยทั้งประเทศที่เห็นท่าที การแสดงออกทั้งทางคำพูดและการแสดงออกที่ผิดกาลเทศะ ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญกราดยิงที่โคราช
• การแสดงออกของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้สื่อสะท้อนความเป็นตัวตนของผู้นำประเทศ ที่น่าอับอาย ผมจึงไม่อาจไว้วางใจให้ท่านซึ่งประกาศตัวว่ามีเซลล์สมอง 84,000 เซลล์ บริหารประเทศต่อไปได้ ท่ามกลางความล้มเหลวต่อความเชื่อมั่นของประชาชนส่วนใหญ่ในภาวะความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรีคนนี้

"โดยสรุปจากที่กล่าวมาทั้งหมด รวมทั้งข้อมูลรายละเอียดต่างๆที่เพื่อนสมาชิกฝ่ายค้านจะได้อภิปรายหลังจากนี้ ผมจึงไม่อาจไว้วางใจให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐมนตรีที่มีชื่ออยู่ในญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ บริหารประเทศต่อไป เพราะตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งผู้นำรัฐบาล ผมไม่เห็นศักยภาพของท่านทางด้านการบริหาร หรือเป็นนักยุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่ผู้นำประเทศควรจะมี แต่ผมกลับเห็นท่านซึ่งอยู่ในฐานะนายกรัฐมนตรีทำได้เพียงแค่นักธุรการทั่วไป ทำหน้าที่เพียงแค่ใช้จ่ายงบประมาณของแผ่นดิน แต่ไม่รู้จักวิธีหารายได้เข้าประเทศ บริหารประเทศบนพื้นฐานของอารมณ์และความรู้สึก แต่มิได้บริหารบนพื้นฐานของความรู้ ดังนั้นผมไม่อาจไว้วางใจท่านให้บริหารประเทศแล้วทำให้ลูกหลานของเราในอนาคต ต้องรับมอบประเทศไทยที่เป็นซากปรักหักพังต่อจากคนรุ่นเรา ผมจึงกล่าวหาท่านด้วยความล้มเหลวทั้ง 5 ประการ และไม่อาจไว้วางใจให้ท่านบริหารประเทศต่อไปได้ ซึ่ง ส.ส.ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร จะให้รายละเอียดต่อจากผม"