ออมสินประเมินโควิด-19กระทบจีดีพีถึง1.0%

ออมสินประเมินโควิด-19กระทบจีดีพีถึง1.0%

ศูนย์วิจัยธนาคารออมสินประเมินผลกระทบไวรัสโควิด-19กระทบจีดีพีสูงสุด 1% โดยภาคธุรกิจค้าปลีกได้รับผลกระทบหนักสุดจากการจับจ่ายซื้อสินค้าของนักท่องเที่ยวจีนที่หายไป

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสินเปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยธนาคารออมสินประเมินผลกระทบจากมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ดังกล่าวที่มีต่อภาคเศรษฐกิจและภาคธุรกิจของไทย โดยใช้ข้อมูลสถิติจำนวนรายได้และค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาประเทศไทย จากฐานข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

โดยแบ่งการศึกษาออกเป็น 2 กรณี คือ กรณีที่ทางการจีนสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ภายใน 3 เดือน คาดว่า นักท่องเที่ยวจีนที่จะเดินทางมายังประเทศไทยจะหายไปประมาณ 1.6 ล้านคน ซึ่งจะส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวของไทยลดลงไปกว่า 80,000 ล้านบาท และฉุดให้จีดีพีของไทยในปี 2563 ลดลง 0.4% และกรณีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสต่อเนื่องยาวไปจนถึง 6 เดือน คาดว่าจะทำให้นักท่องเที่ยวจีน ที่หายไปเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 3.5 ล้านคน ซึ่งจะส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวของไทยลดลงไปกว่า 170,000 ล้านบาท และฉุดให้จีดีพี ของไทยในปี 2563 ลดลง 1.0%  

นอกจากนี้ ยังศึกษาเพิ่มเติมถึงผลกระทบจากการหดตัวของนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มี ต่อธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยว กลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจาก การที่รายได้นักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงมากที่สุด 4 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจที่พักแรม ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจขนส่ง โดยธุรกิจค้าปลีก คาดว่า จะสูญเสียรายได้ประมาณ 25,000 – 54,000 ล้านบาท จากการจับจ่ายซื้อสินค้าของนักท่องเที่ยวจีนที่หายไป โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการกลุ่มนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี เชียงใหม่ และภูเก็ต

ส่วนธุรกิจที่พักแรมและโรงแรม คาดว่า จะสูญเสียรายได้ประมาณ 21,000 – 45,000 ล้านบาท โดยเฉพาะที่พักแรมระดับราคาไม่สูงมากจนถึงระดับปานกลาง และมีตลาดหลักเป็นลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวจีน  โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการกลุ่มนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต  ส่วนธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม คาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 16,000 – 34,000 ล้านบาท จังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีน ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี และสุราษฎร์ธานี ซึ่งผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบยังรวมถึงร้านสตรีทฟู้ด อีกกว่า 105,000 ราย (ส่วนใหญ่ไม่เป็นนิติบุคคล) กระจายตามจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ

สำหรับธุรกิจขนส่ง คาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 7,500 – 16,000 ล้านบาท โดยเฉพาะบริการรถหรือเรือนำเที่ยว รวมถึงบริการการขนส่งสาธารณะอื่น ๆ ในพื้นที่ ซึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีนมีผู้ประกอบการที่เป็นเอสเอ็มอี  เช่น กรุงเทพฯ ชลบุรี และภูเก็ต

นอกจากผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการที่นักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงแล้ว ยังมีผลกระทบเชื่อมโยงไปถึงธุรกิจอื่นๆ ที่เป็นธุรกิจต้นน้ำ เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการเพาะปลูก ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ ข้าว รวมถึงธุรกิจปศุสัตว์ทั้งโค สุกร และสัตว์ปีก อีกทั้งธุรกิจเกี่ยวเนื่องอื่นๆ เช่น ธุรกิจเชื้อเพลิง ธุรกิจเคมีภัณฑ์ เป็นต้น ซึ่งอาจมีผลกระทบให้จีดีพี ปรับตัวลดลงมากกว่าที่คาดการณ์เมื่อปลายปีธนาคารออมสินเคยประเมินว่าจีดีพีปีนี้โต 3.5% ผลกระทบที่เกิดขึ้นน่าจะทำให้จีดีพีปีนี้โตไม่เกิน 2.5%