เรือสปีดโบ๊ทชนกันกลางร่องน้ำ นทท.บาดเจ็บ 21 เสียชีวิต 2 ราย

เรือสปีดโบ๊ทชนกันกลางร่องน้ำ นทท.บาดเจ็บ 21 เสียชีวิต 2 ราย

เรือสปีดโบ๊ทชนกันกลางร่องน้ำ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวรัสเซียได้รับบาดเจ็บ 21 ราย เสียชีวิต 2 ราย เจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริง

เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 63 เจ้าหน้าที่ศูนย์นเรนทรอันดามัน ภูเก็ต ได้รับแจ้งว่ามีเรือสปีดโบ๊ทชนกัน มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย เหตุเกิดบริเวณปากร่องน้ำใกล้กับท่าเทียบเรือรอยัลมารีน่า ต.เกาะแก้ว อ.เมือง จ.ภูเก็ต หลังรับแจ้งจึงประสาน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองภูเก็ต เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ฉุกเฉินโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต และโรงพยบาลมิชชั่นภูเก็ต ร่วมตรวจสอบและให้การช่วยเหลือ

ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุเรือสปีดโบ๊ทได้ช่วยลำเลี่ยงผู้บาดเจ็บมาขึ้นที่ท่าเทียบเรือรอยัลมารีน่า รวมผู้บาดเจ็บซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย จำนวน 23 คน ในจำนวนนี้มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย อยู่ในอาการหมดสติ ไม่มีชีพจร เจ้าหน้าที่ได้ทำการปั๊มหัวใจก่อนนำส่งโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต 12 ราย เป็นชาย 9 ราย และหญิง 3 ราย ส่งโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต 1 ราย โรงพยาบาลสิริโรจน์ 6 ราย และโรงพยาบาลมิชชั่นภูเก็ต 4 ราย ซึ่งในจำนวน 4 รายที่นำส่งโรงพยาบาลมิชชั่นภูเก็ต มี 2 รายได้เสียชีวิต เป็นเด็กหญิงชาวรัสเซีย อายุ 6 ขวบ และเด็กชาย 12 ขวบ โดยทั้งคู่เป็นพี่น้องกัน

158131372757

ขณะเดียวกัน พ.ต.ท.ธาดา โสดารักษ์ สารวัตร (สอบสวน) สภ.เมืองภูเก็ต พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งเจ้าท่าภูมิภาค สาขาภูเก็ต และเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ เบื้องต้นพบเรือสปีดโบ๊ทลำเกิดเหตุทั้ง 2 ลำ ชื่อเรือปาหยัน 5 ของบริษัท ซีสตาร์อันดามัน จำกัด สภาพพังเสียหายบริเวณกาบขวาด้านหัวเรือ และเรือคู่กรณีอีกลำชื่อ ALP3 ของบริษัท Andaman Leisure Phuket (ALP) บริเวณหัวเรือมีร่องรอยเสียหายยับเจ้าหน้าที่จึงเก็บภาพเป็นหลักฐาน ก่อนเดินทางไปสอบปากคำคนขับและพนักงานบนเรือ

158131374134

จาการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ เรือสปีดโบ๊ทของบริษัท ซีสตาร์อันดามัน ซึ่งเป็นเรือเปล่าเดินทางมาจากท่าเทียบเรือเอกชนแห่งหนึ่งเพื่อมารับนักท่องเที่ยวที่ท่าเทียบเรือรอยัลภูเก็ตมารีน่า เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุได้ขับเรือเลี้ยวเข้ามาบริเวณร่องน้ำจึงเกิดการชนกันเข้าอย่างจัง เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตดังกล่าว ทั้งนี้เจ้าหน้าที่จะทำการสอบสวนผู้เกี่ยวข้องเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป