จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ

จีนกระตุ้นเศรษฐกิจ

ดัชนีวานนี้ปิดปรับตัวขึ้นแรง เช่นเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค แม้ยังคงมีปัจจัยกดดันจากไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่ที่แพร่กระจายตัวอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นจากการที่ธนาคารกลางจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อช่วยบรรเทาสถานการณ์ดังกล่าว  ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดที่ 1,519.38 จุด (+23.32 จุด) Volume 5.9 หมื่นลบ. ต่างชาติ +450.45 ลบ. TFEX Net  +12,696 สัญญา

ปัจจัยบวก / ปัจจัยลบ

+ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก 407.82 จุด +1.44% เนื่องจากคลายกังวลผลกระทบของไวรัสโคโรนาที่กำลังแพร่ระบาด หลังจากธนาคารกลางจีนอัดฉีดสภาพคล่องติดต่อกัน 2 วันเพื่อรักษาเสถียรภาพในตลาดการเงิน และจะเข้าแทรกแซงตลาดเพิ่มเติมเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน

+สหรัฐเผยยอดสั่งซื้อภาคโรงงานพุ่งขึ้นมากสุดรอบกว่า 1 ปีในธ.ค.

+  ครม.อนุมัติแพ็กเกจ 4,500 ล้านช่วยท่องเที่ยว อัดมาตรการภาษี-การเงินลดผลกระทบเศรษฐกิจไทย

-ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดลดลง 50 เซนต์ -1% ปิดที่ 49.61 ดอลลาร์/บาร์เรล กังวลว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอุปสงค์น้ำมันในตลาดโลก

-จีนเผยยอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรนาพุ่งขึ้นเป็น 490 ราย, ยอดติดเชื้อเพิ่มเป็น 24,324 ราย

- OIE เผยไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N6 แพร่ระบาดในเวียดนาม และ H5N8 แพร่ระบาดในซาอุดีอาระเบีย

-Fund Flow ต่างชาติมีสถานะขาย YTD 16,595.99 ลบ. ค่าเงินบาท 30.96 บาท/US

*จับตาปธน.ทรัมป์กล่าวสุนทรพจน์ เวลา 9.00 น.ตามเวลาไทยในหัวข้อ`The Great American Comeback` สหรัฐเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชน ดุลการค้าเดือนธ.ค. ดัชนี PMI ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนม.ค. ดัชนีภาคบริการเดือนม.ค. และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ ในประเทศจับตาการประชุมของกกร.

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย

คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อตามตลาดโลก โดยได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางจีนอัดฉีดเงินเข้าระบบ ประกอบกับเตรียมปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี และสัดส่วนการกันสำรองของสถาบันการเงิน ขณะที่ปัจจัยในประเทศได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,510-1,530 จุด

กลยุทธ์การลงทุน

  • ได้ประโยชน์จากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (BH BCH BDMS TM PHOL)
  • หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า (TU CPF)
  • หุ้นที่ได้ประโยชน์จากไข้หวัดนกระบาดในมลฑลหูหนาน (TU CPF TFG)
  • รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว (AAV AOT MINT ERW)

หุ้นรายงานพิเศษ

IVL Capital Markets Day ลบระยะสั้น บวกระยะยาว (Bloomberg consensus 38.92)

  • กางแผน 4 ปีต่อจากนี้เน้นลดต้นทุนและใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้โครงการ Olympus ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนราว $350M ภายในปี 2023 (ธุรกิจ PET ลดต้นทุน $75M ธุรกิจ Fibers ลดต้นทุน $45M และธุรกิจ IOD ลดต้นทุน $130M) และกลยุทธ์ธุรกิจ PET เน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และการเข้าซื้อกิจการ ธุรกิจ Fibers เน้นการเติบโตแบบ Organic และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และธุรกิจ IOD เน้นการเติบโตแบบ Organic และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่
  • บริษัทยอมรับว่าราคาผลิตภัณฑ์และส่วนต่างของ PET MEG PX และ PE ที่อ่อนตัวลงจากอุปสงค์ในตลาดโลกจะลดลงจากสงครามการค้าและการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า อย่างไรก็ตามบริษัทคาดว่าส่วนต่างผลิตภัณฑ์จะเริ่มทรงตัวเนื่องจากราคาต่ำจนใกล้เคียงต้นทุนการผลิตที่เป็นเงินสด (Cash Cost)
  • เริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์โรงงานโอเลฟินส์แครกเกอร์ ในเมือง Westlake รัฐหลุยส์เซียนา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา โชว์กำลังการผลิตเอทิลีน 440,000 ตันต่อปี (ที่มา ข่าวหุ้น)
  • ความเห็น ในระยะสั้นเรามีมุมมองเชิงลบ เนื่องจาก Bloomberg คาดว่าผลประกอบการ 4Q62 จะยังทรงตัวในระดับต่ำที่ 1.38 พันล้านบาท+73%QoQ และกำไรปี 62 จะหดตัว 58% สู่ 1.1 หมื่นล้านบาทซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี อย่างไรก็ตามในระยะยาวเราชอบ IVL จากกลยุทธ์การเติบโตของบริษัทที่เน้นขยายธุรกิจไปยังปลายน้ำเข้าใกล้ผู้บริโภคซึ่งจะมีความผันผวนของราคาต่ำกว่าธุรกิจต้นน้ำ

หุ้นมีข่าว   

(+) JAS (Bloomberg Consensus 5.35 บาท)   ประกาศงบปี 62 อวดกำไรสุทธิ 7,265 ล้านบาท โต 47.9% จากปีก่อน หลังบุ๊กกำไรจากการขายสินทรัพย์เข้า JASIF กว่า 7,233 ล้านบาท พร้อมจ่ายปันผลหุ้นละ 1.50 บาท ขึ้น XD วันที่ 20 เม.ย. 63 และจ่ายวันที่ 12 พ.ค. 63 ฟาก JASIF แจ้งงบปี 62 บุ๊กกำไรพิเศษ 4 พันล้าน ดันงบโต 110%  (ที่มา ข่าวหุ้น)

ความเห็น : เรามองว่าราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นในระยะสั้นเพื่อตอบรับการจ่ายเงินปันผลที่คิดเป็น Dividend yield ราว 27.3% จากราคาปัจจุบัน โดยกำไรส่วนใหญ่ของ JAS มาจากการจำหน่ายสินทรัพย์เข้ากองทุน JASIF เป็นหลัก ซึ่งหากหักรายการดังกล่าวมีกำไรจากการดำเนินงานปี 62 อยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท

(+) TMILL (ถือรับปันผล ราคาเหมาะสม 3.36) ส่งสัญญาณผลงานไตรมาส 1/63 โดดเด่น หลังตั้งทีมขายใหม่รองรับกลุ่มลูกค้า SMEs แย้มกระแสตอบรับดี ตุนออเดอร์ลูกค้ารายใหญ่แล้ว 50-60% หนุนกำลังผลิตใกล้เป้าหมายที่ 80% มั่นใจบริหารจัดการต้นทุนได้ดีไม่กระทบคู่ค้า (ที่มา ทันหุ้น)

(+) IRPC (Bloomberg Consensus 3.98) จับมือ"พีทีที แทงค์ เทอร์มินอล-ไทย ไปป์ไลน์ เน็ตเวิร์ค" พัฒนาระบบขนส่งน้ำมันทางท่อเข้าสู่ "แทปไลน์" (ที่มา อินโฟวเควสท์)

(+) BPP (Bloomberg Consensus 23.09) ไฟเขียวบริษัทย่อยเข้าถือหุ้น 19.9% ในธุรกิจไฟฟ้าแบบค้าปลีกในประเทศญี่ปุ่น โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 10.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังสนใจขยายการลงทุนในธุรกิจการบริหารจัดการโครงข่ายการผลิตไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ที่มา ทันหุ้น)

 (+) BEAUTY (Bloomberg Consensus 2.14 บาท)   ลั่นปี 63 รายได้โต 20% ตั้งเป้ารักษาอัตรากำไรสุทธิ 15% ชูวิสัยทัศน์สู่การเป็น “International Beauty & Health Business” ยกระดับแบรนด์สินค้า เน้นตลาดอินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เมียนมา และเวียดนาม พร้อมคงเป้ายอดขายจีน 50 ล้านบาท/เดือน (ที่มา ข่าวหุ้น)

(+) SUPER (Bloomberg Consensus - บาท) บอร์ด SUPER ไฟเขียวส่งบริษัทย่อย SSE เข้าเทกโอเวอร์โซลาร์ฟาร์ม 4 โครงการ รวม 23.80 MW มูลค่า 190 ล้านบาท พร้อมเข้าถือหุ้นโครงการโซลาร์สหกรณ์ฯ 4 MW บิ๊กบอส จอมทรัพย์ปักหมุดปี 63 รายได้โตไม่ต่ำกว่า 20-25% ทยอยบุ๊กโซลาร์ฟาร์ม-วินด์ฟาร์ม-โรงไฟฟ้าขยะเต็มสูบ มั่นใจกำลังผลิตพุ่ง 1,200 MW (ที่มา ข่าวหุ้น)

(+) CENTEL (Bloomberg Consensus 28.53 บาท) ปลื้มรัฐเร่งช่วยเหลือโดยเฉพาะลดหย่อนภาษีปรับปรุงธุรกิจ และกระตุ้นให้จัดสัมมนาในประเทศ วอนรัฐนำร่องจัดสัมมนากระตุ้นบรรยากาศ มั่นใจหากคุมสถานการณ์ได้เร็ว จะไม่กระทบช่วงไฮซีซันปีนี้ ด้านนักวิเคราะห์ยังคงจับตา บจ.ขยับตัวใช้สิทธิ์นโยบายภาครัฐ(ที่มา ข่าวหุ้น)