แผนสกัดชาวจีนเดินทางฉุด“ท่องเที่ยว-ตลาดหุ้น”

แผนสกัดชาวจีนเดินทางฉุด“ท่องเที่ยว-ตลาดหุ้น”

ความพยายามสกัดกั้นชาวจีนไม่ให้เดินทางออกนอกประเทศของรัฐจีน หรือกันไม่ให้เดินทางเข้าประเทศของประเทศต่างๆทั่วโลก ส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมการเดินทาง และตลาดหุ้นทั่วโลกและเมื่อตลาดเกิดความปั่นป่วน สิ่งที่ตามมาคือการขาดรายได้

ขณะนี้บรรดาบริษัททัวร์ต่างประเทศจำนวนมากเจอปัญหาทัวร์จีนยกเลิกการจองตั๋วที่จะไปเที่ยวยังจุดหมายปลายทางประเทศต่างๆ หลังจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนายังไม่มีทีท่าว่าจะบรรเทาเบาบางลง เช่นกรณีของ“บิลล์ อีเกอร์ตัน”เจ้าของบริษัทท่องเที่ยวโคอาลา บลู ในควีนแลนด์ ประเทศออสเตรเลียที่ดำเนินธุรกิจให้บริการท่องเที่ยวมานาน 25 ปี กล่าวว่า ตอนนี้ทัวร์จากจีนทั้งหมดถูกยกเลิกไปแล้ว และเฉพาะเดือนก.พ.เพียงเดือนเดียวเขาสูญเสียทัวร์จีนไป 15 คณะ

“นักท่องเที่ยวจีนเป็นแหล่งรายได้ของบริษัทผมประมาณ 10-20% ผมคิดว่ารัฐบาลกลางไม่เข้าใจการสูญเสียรายได้และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับธุรกิจอย่างแท้จริง การแพร่ระบาดของไวรัสครั้งนี้ทำให้ธุรกิจสวนสนุกได้รับผลกระทบโดยตรงด้วย รวมทั้งธุรกิจโรงแรม จีนเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโลกในขณะนี้ ”อีเกอร์ตัน กล่าว

ในเมืองโกลด์ โคสต์ ซึ่งถือเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวชั้นนำในออสเตรเลีย รองรับนักท่องเที่ยวจากจีนมากที่สุดและถือเป็นตลาดนักท่องเที่ยวอินบาวด์ที่มีมูลค่ามากที่สุด โดยเมื่อปี 2562 มีการจับจ่ายด้านการท่องเที่ยวทั้งในส่วนของการซื้อสินค้าและบริการรวมทั้งสิ้น 1.6 พันล้านดอลลาร์ และออสเตรเลียทั้งประเทศ รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี2562 จำนวน 9.4 ล้านคน ในจำนวนนี้ เป็นนักท่องเที่ยวจีน 7.96 ล้านคนและทั้ง7.9ล้านคนนี้มีการใช้จ่ายรวมกันคิดเป็นเงินทั้งสิ้น 21.95 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

158060342927

สิ่งที่เกิดขึ้นกับบริษัททัวร์ของอีเกอร์ตัน สอดคล้องกับการคาดการณ์ของศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในออสเตรเลียที่ว่า มูลค่าความเสียหายจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้นในตอนนี้ อาจมากกว่าเม็ดเงินที่สูญเสียไปเมื่อครั้งรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสซาร์สในปี 2546 ถึง 3-4 เท่า

“วอร์ริค แมคคิบบิน” ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาแห่งชาติออสเตรเลีย ในกรุงแคนเบอร์รา กล่าวว่า เศรษฐกิจจีนมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วตลอดระยะเวลา 17 ปีที่ผ่านมา ทำให้การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาครั้งนี้ มีแนวโน้มที่จะสร้างความเสียหายต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกมากกว่าวิกฤติการณ์ด้านสุขภาพที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้

แมคคิบบิน ยังกล่าวด้วยว่า "นี่เป็นเพียงการคำนวณแบบคณิตศาสตร์ เคยมีผลกระทบต่อจีดีพีมูลค่ามหาศาล ปรากฏให้เห็นมาแล้วเมื่อครั้งไวรัสซาร์สแพร่ระบาด และในครั้งนั้น เศรษฐกิจจีนก็เกิดการชะลอตัว ส่วนในขณะนี้เศรษฐกิจจีนมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ความสูญเสียจึงมีโอกาสที่จะมากมายกว่านั้นอีกเป็นมูลค่านับพันล้านดอลลาร์”

แมคคิบบิน ระบุว่า แม้ยังไม่สามารถประเมินมูลค่าความเสียหายออกมาเป็นตัวเลขที่แน่นอนได้เนื่องจากวิกฤติยังคงดำเนินอยู่ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในตอนนี้ก็คือ ความเปลี่ยนแปลงด้านจิตวิทยา เช่น ความตื่นตระหนกในเรื่องเศรษฐกิจ ที่ปรากฎขึ้นมากกว่าความกังวลในเรื่องของการเสียชีวิตจากโรค

ข้อมูลจากประเทศต่างๆทั่วโลกล่าสุด ระบุว่า จำนวนผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ทั่วโลกในขณะนี้มีจำนวนมากกว่าผู้ที่ติดเชื้อโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรงหรือซาร์สในปี 2545-46

นอกจากจะสร้างความเสียหายแก่ธุรกิจท่องเที่ยวแล้ว การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ยังสร้างความปั่นป่วนแก่ตลาดหุ้นด้วยเช่นกัน โดยดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นสหรัฐ ปิดตลาดวันศุกร์ (31ม.ค.)ดิ่งลงกว่า600 จุด และลบช่วงบวกที่ทำไว้ในเดือนนี้จนหมดขณะที่นักลงทุนวิตกต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ร่วง603.41 จุด หรือ 2.09% ปิดที่ 28,256.03 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลง 58.14 จุดหรือ1.77% ปิดที่ 3,225.52 จุดและดัชนีแนสแด็กร่วงลง 148.00 จุดหรือ 1.59% ปิดที่ 9,150.94 จุด

ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชีย ปิดในแดนลบเป็นส่วนใหญ่นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดแต่ในวันศุกร์ ปิดไร้ทิศทางมีทั้งบวกและลบ โดยดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลีย ปิดตลาดวันศุกร์ (31ม.ค.)ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและเฮลท์แคร์ปรับตัวขึ้น สวนทางหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์

158060344262

ดัชนี S&P/ASX 200 บวก 8.80 จุด หรือ 0.13% ปิดที่ 7,017.20 จุด ดัชนี ALL ORDINARIES ตลาดหุ้นออสเตรเลียปิดที่ 7,121.20 จุด เพิ่มขึ้น 12.60 จุด, +0.18%

ดัชนีนิกเคอิ ตลาดหุ้นโตเกียวปิดพุ่งขึ้น เนื่องจากนักลงทุนขานรับความหวังที่ว่าทั่วโลกจะร่วมมือกันในการต่อสู้กับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ระบาดจากจีน หลังองค์การอนามัยโลก (ดับบลิวเอชโอ) ประกาศให้ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขของโลก โดยดัชนีนิกเคอิปิดพุ่ง 227.43 จุด หรือ 0.99% แตะที่ 23,205.18 จุด

ดัชนีคอมโพสิต ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ปิดร่วงหนักเป็นวันที่สองติดต่อกัน เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ส่วนสกุลเงินวอนอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ

ดัชนีคอมโพสิตตลาดหุ้นเกาหลีใต้ (KOSPI) ลดลง 28.99 จุด หรือ -1.35% ปิดที่ 2,119.01 จุด มีปริมาณการซื้อขายปานกลางที่ 696 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 7.12 ล้านล้านวอน (5.76 พันล้านดอลลาร์) มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในสัดส่วน 709 ต่อ 164

เช่นเดียวกับดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขฮ่องกงประกาศว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในฮ่องกงเพิ่มขึ้นเป็น 12 ราย โดยดัชนีฮั่งเส็งลดลง 136.50 จุด หรือ -0.52% ปิดวันนี้ที่ 26,312.63 จุด

ส่วนดัชนีความผันผวนซีบีโออี ( CBOE Volatility Index) (วีไอเอ็ก) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาด พุ่งขึ้นกว่า 37% เหนือระดับ 19 จุดในเดือนนี้ จากระดับ 13.78 ก่อนหน้านี้ หลังจากสายการบินหลายแห่งพากันยกเลิกเที่ยวบินไปจีน ท่ามกลางความกังวลเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ระบาด

ด้านคณะกรรมาธิการสาธารณสุขแห่งชาติของจีน รายงานสถานการณ์เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งมีต้นกำเนิดที่เมืองอู่ฮั่น เมืองเอกของมณฑลหูเป่ย์ ทางตอนกลางของประเทศ ว่านับตั้งแต่เดือนธ.ค. ปีที่แล้ว จนถึง ณ วันที่ 31 ม.ค. ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตแล้ว 259 คน เป็นประชาชนในแผ่นดินใหญ่ทั้งหมด ส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่อย่างน้อย 11,791 คน