เจาะ 'เมกะเทรนด์ลงทุน' เสริมมั่งคั่ง ตอบโจทย์ระยะสั้นสู่ 'วางแผนเกษียณ’ 

เจาะ 'เมกะเทรนด์ลงทุน' เสริมมั่งคั่ง ตอบโจทย์ระยะสั้นสู่ 'วางแผนเกษียณ’ 

สถานการณ์การลงทุนในปี2563 มีปัจจัยท้าทายและความเสี่ยงไม่น้อยไปกว่าปีที่ผ่านมา  นักลงทุนจึงจำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่เปรียบเหมือน "เข็มทิศการลงทุน"  เพื่อไม่ให้หลงทางไปกับปัจจัยต่างๆ ที่เข้ามากระทบ

 และทำให้มั่นใจได้ว่า เงินลงทุนที่ลงไปสามารถสร้างผลตอบแทนที่ตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงินที่วางไว้ได้ 

“จิติพล พฤกษาเมธานันท์”  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน)  จึงแนะนำ “3 เมกะเทรนด์ลงทุน” ที่เป็นเทรนด์ลงทุนยอดฮิตในปี2563 เรียกว่า “ไม่มีไม่ได้”   นั่นคือ  1.เมกะเทรนด์ลงทุนรองรับวัยเกษียณ ซึ่งเป้าหมายของการลงทุนควรเน้นรายได้ (Income) ที่สามารถรักษาลักษณะการใช้ชีวิตของเรา และต้องคำนึงว่าเราอาจต้องใช้ชีวิตช่วงเกษียณนานขึ้นกว่าที่คิด ขณะเดียวกันดอกเบี้ยในอนาคตก็จะยังต่ำต่อเนื่อง

เทรนด์ในอนาคตจึงควร “ลด” การลงทุนในตราสารหนี้ลง และ “เพิ่ม” การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ ที่มีรายรับและการจ่ายปันผลที่แน่นอน เช่น กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน หรือกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่มีผู้เช่าระยะยาว อาจเลือกกองทุนที่มีประกันสุขภาพแถมด้วยถ้าเปรียบเทียบแล้วไม่แพงเกินไป

2. เมกะเทรนด์ลงทุนเพื่อเป้าหมายระยะสั้น  เช่น เพื่อการศึกษาบุตร หรือ เพื่อซื้อสินทรัพย์ในอนาคตช่วง 3-5 ปีข้างหน้า โดยในปี2563 แนะนำการลงทุนในรูปแบบกองทุนที่มีการลงทุนในสินทรัพย์หลายกหลาย (Multi Asset) ประกันความเสี่ยงในขาลงไว้ (Protected Downside) จะได้มั่นใจว่าเมื่อถึงอนาคตเราจะมีเงินพอสำหรับใช้จ่าย ความเสี่ยงที่สามารถรับได้มากขึ้นในกรณีนี้คือสภาพคล่อง (Liquidity) เพราะเลือกล็อกเงินลงทุนในการลงทุนเท่ากันหรือใกล้เคียงกับจังหวะที่ต้องใช้เงินในอนาคตได้

3.เมกะเทรนด์ลงทุนเพิ่มความมั่งคั่ง  การลงทุนที่น่าสนใจในปี2563 เชื่อว่าจะเป็นแบบ “Thematic Fund”  ในเทรนด์ธุรกิจที่หลากหลาย เพราะความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นในปีหน้า จะมาจากทั้งฝั่งตราสารหนี้ที่ผลตอบแทน“ต่ำมาก” จนอาจทำให้ไม่สามารถเพิ่มความมั่งคั่งได้ตามเป้าหมาย ขณะเดียวกันหุ้นโดยรวมก็ปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับที่“ไม่ถูก” หลายบริษัทปรับตัวไม่ทันกระแส Disruption เริ่มมีผลประกอบการไม่ดี จึงควรเลือกลงทุนกับแนวโน้มใหม่ในอนาคต 

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องรับให้ได้กับความผันผวนระยะสั้น ที่อาจเกิดจากความคาดหวังที่สูงเกินไป หรือกฏหมายที่อาจเปลี่ยนแปลงในอนาคตด้วย ทางที่ดีที่สุด จึงไม่ควรลงทุนในเทรนด์ใดเทรนด์หนึ่งมากเกินไป แต่ควรกระจายการลงทุนในหลายแนวโน้มและติดตามข่าวสารการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ

 “จิติพล” ยังแนะนำ “5 สินทรัพย์เด่น” ภายใต้เทรนด์การเปลี่ยนแปลงสำคัญในปี2563 ดังนี้ 1. สงครามการค้ากดดันการเติบโตของกำไร  ทำให้หุ้นในปี 2563 จะฟื้นตัวต่อจากปีนี้ แต่เชื่อว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่จะไม่ได้ฟื้นตัวมาก เพราะกำแพงภาษีส่วนใหญ่ยังคงอยู่ เงินเฟ้อก็ยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่การลงทุนก็ต้องรอความชัดเจนจากนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐ จึงแนะนำ "หุ้นยุโรป" มีโอกาสฟื้นตัวมากที่สุด แต่ถ้าสงครามการค้าจบเร็ว “หุ้นเอเชีย” จะกลับตัวได้เร็วที่สุด

2. ตราสารหนี้ภาคเอกชนอาจไม่ดีเหมือนปีนี้  เนื่องจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินทั่วโลกจะลดลง ขณะที่นักลงทุนยังมีความกังวลกับความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่จึงจะเริ่มถามหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากหุ้นกู้ภาคเอกชนก่อน แนะนำพันธบัตรรัฐบาล Emerging Markets 

3. เงินดอลลาร์มีโอกาสทั้งขึ้นและลง  ในระยะสั้นถ้าตลาดผิดจากความไม่แน่นอนเรื่องสงครามการค้า อาจเห็นเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว  ดีต่อการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล แต่แย่กับหุ้นทั่วโลก ในทางกลับกันถ้าสงครามการค้าจบได้ในปีหน้า ก็จะมีโอกาสเห็นดอลลาร์อ่อนค่าและการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ก็จะฟื้นตัวทันที แนะนำเงินยูโร ดอลลาร์ออสเตรเลีย

 4. น้ำมันฟื้นยาก การเก็งกำไรในทองสูง สินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มวัฏจักร จะเคลื่อนไหวในกรอบกว้างเนื่องจากตามภาพเศรษฐกิจใหญ่  ขณะที่ทองคำมีโอกาสปรับตัวลงได้ในช่วงสั้น แนะนำซื้อทองช่วงใกล้เลือกตั้งสหรัฐ และ 5. การลงทุนในประเทศ  เน้นหุ้นปันผลรับแรงหนุนนโนบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น  โดยในปี 2563 เชื่อว่าภาครัฐจะกระตุ้นการบริโภคในประเทศต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ควรเลือกลงทุนด้วยเงื่อนไขปันผลสูงก่อน เนื่องจากยังไม่ใช่ปีที่เศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวได้อย่างแข็งแกร่ง แนะนำหุ้นกลุ่มค้าปลีกธนาคารและสาธารณูปโภคที่คาดว่าจะจ่ายปันผลสูงกว่า5.5%

ด้าน “วิน พรหมแพทย์” ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนพรินซิเพิล จำกัด แนะนำ “2 เมกะเทรนด์การลงทุน” ที่นักลงทุนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญมากขึ้นในตอนนี้

เริ่มจากเมกะเทรนด์ใหญ่ "การลงทุนสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน หรือ ESG "  เพื่อโอกาสในการเสริมสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน พร้อมลดความเสี่ยงในการลงทุน ดังนั้น การคัดเลือกหุ้น จะนำหลัก ESG เข้ามาพิจารณาเป็นหลัก ซึ่งการยึดหลัก ESG ส่งผลดีหลายอย่าง ทั้งความผันผวนที่ลดลง ความเสี่ยงที่ต่ำลง และผลตอบแทนที่สม่ำเสมอมากขึ้น

อีกส่วนที่ห้ามพลาด คือ "เมกะเทรนด์ลงทุนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง หรือ Risk Velocity" ในปี2563 การลงทุนแบบจัดพอร์ตการลงทุนกระจายหลากหลายสินทรัพย์ ยังเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ไม่ควรทุ่มไปกับสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง เพราะภาพรวมในปีหน้าตัวเลขเศรษฐกิจ กับตลาดการเงินตลาดทุนคงไม่ได้ไปด้วยกัน เช่นเดียวกับปีนี้ คือเศรษฐกิจแย่ แต่ตลาดไม่ได้แย่ตามไปด้วย และดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้น หุ้นยังน่าสนใจลงทุนมากกว่าตราสารหนี้ แนะนำลดน้ำหนักหุ้นสหรัฐ เพิ่มน้ำหนัก หุ้นไทย หุ้นเอเชีย(จีน อินเดีย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย) และการลงทุนทางเลือกอย่างอสังหาริมทรัพย์ ยังน่าสนใจผลตอบแทนเฉลี่ย 4-6%แม้ไม่สูงเท่าปีนี้ที่ 18%

157780599487