หวัง 'กองทุน' ช้อปทิ้งทวน พยุงหุ้นไทยปีนี้ปิดบวก
เดินทางเข้าสู่ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการซื้อขาย ซึ่งตามปกติแล้วตลาดหุ้นไทยมักจะเงียบเหงา เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มชะลอการลงทุนกันแล้ว โดยเฉพาะต่างชาติที่เข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวเทศกาลคริสต์มาสและจะต่อเนื่องยาวไปถึงปีใหม่
แต่หากย้อนกลับไปปีที่ผ่านมา หุ้นไทยกลับดิ่งแรงถูกเทขายหนักกว่า 2% ในช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของปี ซึ่งปีนี้เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีก เพราะจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมภาพตลาดขาลง เนื่องจากหุ้นไทยทุกวันนี้แทบไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับปิดของปีก่อน แม้ว่าจะปรับตัวขึ้นระหว่างปี แต่สุดท้ายแล้วกลับมาอยู่ที่เดิม
นาทีนี้ได้แต่หวังว่าจะมี “พระเอกขี่ม้าขาว” มาช่วยประคองตลาดในช่วงโค้งสุดท้าย ซึ่งคงไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจาก “นักลงทุนสถาบัน” หรือ “บรรดากองทุน” ซึ่งตามสถิติย้อนหลังจะ “ซื้อสุทธิ” หุ้นไทยในเดือนธ.ค. แทบทุกปี ทั้งจากเม็ดเงินกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ซึ่งปีนี้พิเศษหน่อย เพราะจะเป็นปีสุดท้าย ก่อนเปลี่ยนไปเป็นกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพื่อนำไปลดหย่อนภาษี
รวมทั้ง การทำราคาปิดงวดบัญชี (Window Dressing) เพื่อให้พอร์ตที่ลงทุนมีมูลค่าผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า ตลอดทั้งเดือนนี้ (1-20 ธ.ค.) นักลงทุนสถาบันในประเทศยังคงซื้อสุทธิหุ้นไทยอยู่ 15,163.27 ล้านบาท และ ตลอดทั้งปีซื้อสุทธิไปแล้ว 42,412.71 ล้านบาท สวนทางนักลงทุนต่างชาติและรายย่อยที่ “ขายสุทธิ” หุ้นไทยปีนี้ไปแล้ว 43,031.16 ล้านบาท และ 18,897.28 ล้านบาท ตามลำดับ
ถามว่าโอกาสที่จะเกิด Window Dressing มีมากน้อยแค่ไหน ? เราเชื่อว่ายังมีอยู่ เพราะถ้าดูจากดัชนีตลาดหุ้นไทยปัจจุบัน แทบไม่ไปไหนจากราคาปิดของปีก่อน ตรงนี้น่าจะทำให้กองทุนเข้ามาซื้อหุ้นเพื่อทำราคาปิดงวดบัญชี ดันหุ้นไทยทั้งปีปิดบวก เพื่อจะได้จูงใจนักลงทุนเข้าซื้อกองทุน SSF ในปีถัดไป ดังนั้น หากกองทุนเข้าเก็บหุ้นในช่วงนี้ ขณะที่แรงขายของนักลงทุนต่างชาติเริ่มชะลอลง เพราะเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาว น่าจะเป็นปัจจัยบวกหนุนให้หุ้นไทยสามารถประคับประคองตัวไปได้จนจบปี
โดยหุ้นที่มักจะเป็นเป้าหมายของการทำ Window Dressing จะเป็นหุ้นบิ๊กแคปขนาดใหญ่พื้นฐานดีในกลุ่ม SET50 ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและผลประกอบการยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยบล.เอเซีย พลัส เลือกหุ้นธีม Window Dressing ที่คาดว่าจะถูกไล่ราคาในช่วงโค้งสุดท้ายของปีมาทั้งหมด 3 ตัว
ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ซึ่งตามสถิติย้อนหลัง 5 ปี พบว่า ช่วงครึ่งหลังของเดือนธ.ค. ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.7% ส่วนในแง่ผลประกอบการมองว่ากำไรน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว กำไรปกติงวดไตรมาส 4 ปี 2562 จะฟื้นตัวขึ้นจากไตรมาสก่อน ตามยอดขายที่เร่งตัวขึ้นของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP และยังให้อัตราส่วนผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) สูงกว่า 4.7% ต่อปี
บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ช่วงครึ่งหลังของเดือนธ.ค. ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.8% ขณะที่บริษัทมีฐานธุรกิจที่มั่นคง แนวโน้มกำไรไตรมาส 4 ปี 2562 จะทำระดับสูงสุดของปี จากการโอนโครงการคอนโดมิเนียมและขายโรงแรมเข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช โฮเทล หรือ LHHOTEL หนุนการจ่ายเงินปันผลพิเศษ คาดอัตราส่วนผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) กว่า 7% ต่อปี นอกจากนี้ ยังได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ โครงการบ้านดีมีดาวน์ของรัฐบาล
และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ซึ่งตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ช่วงครึ่งหลังของเดือนธ.ค. ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2% โดยบางปีปรับตัวขึ้นได้กว่า 7% ส่วนผลประกอบการยังสดใสจากราคาสุกรทั้งในประเทศไทยและเวียดนามที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
สุดท้ายแล้ว คงต้องรอดูว่าอานิสงส์ของ Window Dressing จะช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยได้มากน้อยแค่ไหน แต่เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากเห็นหุ้นไทยปิดต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ดังนั้นตอนนี้คงได้แต่ฝากความหวังไว้กับกองทุนว่าจะใจดีเร่งเครื่องช้อปหุ้นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี เพื่อหนุนหุ้นไทยปิดบวกให้ได้