'เพซ' ลุ้น 'เอสซีบี' ต่อลมหายใจ ปล่อยกู้โครงการนิมิตหลังสวนเพิ่ม มั่นใจช่วยปลดล็อกปัญหาทุกอย่าง

'เพซ' ลุ้น 'เอสซีบี' ต่อลมหายใจ ปล่อยกู้โครงการนิมิตหลังสวนเพิ่ม มั่นใจช่วยปลดล็อกปัญหาทุกอย่าง

“เพซ ดีเวลลอปเมนท์” ลุ้นหนังสือตอบกลับจากไทยพาณิชย์ วอนช่วยกลับมาปล่อยเงินกู้โครงการนิมิตหลังสวนต่อ หลังการก่อสร้างหยุดชะงักชั่วคราว เหตุไม่มีเงินทุนเพียงพอ มั่นใจหากโครงการเสร็จช่วยคลี่คลายปัญหาทุกอย่างได้ เพราะมีมูลค่ากว่า 8,000 ล้าน

นายต่อศักดิ์ วยากรณ์วิจิตร ผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PACE เปิดเผยว่า บริษัทยังรอหนังสือตอบกลับอย่างเป็นทางการจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ในการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับบริษัท โดยเฉพาะการกลับมาปล่อยเงินกู้ (สินเชื่อ) ให้กับโครงการนิมิตหลังสวนต่อเพื่อให้บริษัทมีกระแสเงินทุนมาดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จ หลังบริษัทต้องหยุดการก่อสร้างนับตั้งแต่เดือนส.ค.2562 เพราะธนาคารไทยพาณิชย์หยุดการปล่อยสินเชื่อและทำให้การก่อสร้างต้องหยุดชะงักลงชั่วคราว

ทั้งนี้บริษัทเชื่อว่าหากโครงการนิมิตหลังสวนเดินหน้าต่อได้จะแก้ปัญหาทุกอย่างให้คลี่คลายลงได้ เนื่องจากโครงการนี้มีมูลค่ากว่า 8,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับมูลหนี้เงินกู้ทั้งหมดที่บริษัทมีกับธนาคารไทยพาณิชย์กว่า 10,835 ล้านบาท และโครงการดังกล่าวยังมียอดขายแล้วกว่า 80 -90% หรือคิดเป็นยอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ราว 6,500 ล้านบาท ที่จะทยอยโอนและรับรู้รายได้เมื่อการก่อสร้างเสร็จ รวมถึงยังมียอดขายที่เหลืออีกเพียง 1,500 ล้านบาท

ขณะที่คาดว่าโครงการดังกล่าวยังต้องใช้เงินลงทุนอีกประมาณ 500-600 ล้านบาท จึงจะก่อสร้างส่วนที่เหลือให้แล้วเสร็จ เพราะช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ดำเนินการก่อสร้างคืบหน้าไปแล้วกว่า 70% โดยได้ก่อสร้างเสร็จไปแล้วกว่า 50 ชั้น จากพื้นที่โครงการทั้งหมดที่มีจำนวน 58 ชั้น โดยหากบริษัทได้รับกระแสเงินทุนเพิ่มเติมจาก SCB ตามแผน คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างอีกประมาณ 9 เดือนหรือแล้วเสร็จภายในช่วงไตรมาส 4/2563

“ตอนนี้บริษัทรอความชัดเจนจาก SCB ว่าจะให้คำตอบอย่างไร ซึ่งมองว่าอาจต้องรอจนกว่าแบงก์จะมีหนังสือตอบกลับอย่างเป็นทางการออกมาซึ่งเดือนนี้ไม่น่าจะทันหรือไม่เกินสิ้นปีน่าจะชัดเจน โดยโครงการนิมิตฯเป็นโปรเจ็กหลักที่เราโฟกัสและกำลังเจรจากับ SCB อยู่ ซึ่งต้องการให้เขาปล่อยกู้ต่อเพราะขายไปแล้วกว่า 80-90% และหากสร้างเสร็จจะช่วยสร้างรายได้เข้ามากว่า 8,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้บริษัทยังมีมาจิ้นระดับหนึ่งที่จะไปจ่ายคืนหนี้ให้กับเจ้าหนี้ได้”

ส่วนแนวทางการแก้ไขปัญหาของบริษัทระหว่างรอคำตอบจาก SCB นั้น บริษัทก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดโดยจะมีการเดินหน้าแผนการหยุดการขาดทุนและเร่งแก้ไขโครงสร้างทางการเงิน โดยปัจจุบันมีหนี้รวมประมาณ 12,054 ล้านบาท แบ่งเป็น เงินกู้ SCB จำนวน 10,835 ล้านบาท และหุ้นกู้เอเซีย พลัส PACE 202 A จำนวน 1,219 ล้านบาท ขณะที่มีโครงการอสังหาฯที่เหลืออยู่ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการนิมิตหลังสวนและโครงการมหาสมุทรมูลค่ารวมราว 11,750 ล้านบาท

ส่วนแผนการปลดเครื่องหมาย C นั้น บริษัทมองว่ามี 2 แนวทางในการแก้ไขปัญหาในส่วนของผู้ถือหุ้นนั้นสามารถเพิ่มขึ้นได้ ได้แก่ 1.การปรับโครงสร้างทางการเงิน ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทมีทั้งการเพิ่มทุน,ขยายเวลาไถ่ถอนหุ้นกู้ และขายหุ้นในบริษัทย่อย และ2.ผลกำไรสะสมที่มาจากการดำเนินงานของธุรกิจอสังหาฯกับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม

อย่างไรก็ตามบริษัทคาดว่ามีโอกาสที่จะปลดเครื่องหมาย C ได้ภายในปี 2564 หากธนาคารไทยพาณิชย์กลับมาปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการนิมิตหลังสวน มูลค่า 8,000 ล้านบาท ให้สามารถดำเนินการก่อสร้างต่อให้แล้วเสร็จได้และเดินหน้าขยายธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มภายใต้แบรนด์ดีน แอนด์ เดลูก้าจากช่องทางการขายแฟรนไซส์ให้เพิ่มขึ้น โดยบริษัทตั้งเป้าจะมีสาขาอีกกว่า 120 ร้านภายในปี 2566 จากปัจจุบันที่มีจำนวน 76 ร้านใน 12 ประเทศ 

นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนจะนำบริษัท ดีน แอนด์ เดลูก้า เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯภายในปี 2566 หากสามารถขยายร้านได้ตามแผน ซึ่งจะช่วยหนุนการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 800 – 1,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่อยู่ระดับ 200-300 ล้านบาท