Trade war ยังไม่แน่นอน

Trade war ยังไม่แน่นอน

คาด SET อ่อนตัวลงทดสอบ 1,600 จุดก่อนจะสลับรีบาวด์ จากสถานการณ์การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนที่ไม่แน่นอน

ตลาดหุ้นวานนี้

SET Index ปิดทรงตัว -0.75 จุด (-0.05%) ปิดที่ระดับ 1,607 จุด ด้วย Volume 4.8 หมื่นล้านบาท จากความกังวลการเจรจาการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐ-จีน หลังปธน.ทรัมป์เผยว่าจะไม่มีการยกเลิกการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ส่งผลให้มีแรงขายในกลุ่ม ICT, ENERGY และ PETRO อย่างไรก็ตามได้แรงซื้อหุ้นกลุ่มที่คาดว่างบเติบโตขึ้นตาม seasonal เช่น Tourism และ Etron หนุนให้ดัชนีปิดลบเพียงเล็กน้อย ส่วนนักลงทุนต่างชาติเป็นฝั่งซื้อสุทธิ 43 ล้านบาท แต่ขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 1,623 ล้านบาท และ Net Short TFEX จำนวน 12,208 สัญญา

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้

เรามีมุมมองเป็นลบคาด SET อ่อนตัวลงทดสอบ 1,600 จุดก่อนจะสลับรีบาวด์ จากสถานการณ์การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนที่ไม่แน่นอน หลังปธน.ทรัมป์ขู่จะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นหากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากันได้ (ทั้งนี้สหรัฐมีกำหนดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนขึ้นอีก 15% ยอด 3 แสนล้านดอลล่าร์ ในวันที่ 15 ธ.ค.) ส่งผลให้ Fund Flow ไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยโดย US Bond yield 10 ปีอ่อนตัวลงสู่ 1.77% นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบที่ทรุดลงแรงจากคาดการณ์ว่าสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐจะเพิ่มขึ้นรวมถึงรัสเซียจะไม่ปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลงอีกในการประชุม 5 – 6 ธ.ค.ซึ่งกดดันต่อกลุ่มพลังงานและภาวะตลาดให้อ่อนตัวลง

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่มที่คาดว่างบ 4Q19 ยังคงเติบโตขึ้น CPF, ERW, TASCO, EPG, SAWAD, MTC, JMT
  • Defensive stock AOT, INTUCH, ADVANC, BEM, BTS, BDMS, BCH, CHG, GPSC, TTW
  • MSCI rebalance มีผล 26 พ.ย.: Global Standard เพิ่ม BGRIM, GPSC, OSP, SAWAD 

          Small Cap CENTEL, DOHOME, JMT, SPRC, STPI, TPIPP, TQM

หุ้นแนะนำวันนี้

  • BDMS (ปิด 24.1 ซื้อ/เป้า Consensus 27) ราคาหุ้นยัง Laggard หากเทียบกับกลุ่ม ขณะที่ภาพรวมผลกำไรไม่ได้แย่มีกำไรสุทธิ 2,890 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55%qoq และ 0.4%yoy และแนวโน้มปีหน้ายังเติบโตต่อเนื่อง เพราะธุรกิจ BDMS กำลังเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวผลกำไรหลังจากผ่านพ้นช่วงลงทุนใหญ่มาแล้วเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา
  • SAWAD (ปิด 64.75 ซื้อ/เป้า Consensus 67) กลุ่มไฟแนนซ์ยังได้ผลบวกจากทิศทางดอกเบี้ยขาลง (GDP ต่ำ, ค่าเงินบาทยังแข็ง มีลุ้นแบงก์ชาติลดดอกเบี้ยอีก) นอกจากนี้ SAWAD ยังเป็นอีก 1 หุ้นที่ได้รับเข้าคำนวณในดัชนี MSCI รอบใหม่เริ่มมีผลตั้งแต่ 26 พ.ย.19 คาดหนุนสัดส่วนการลงทุนจากองทุนและนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้น

บทวิเคราะห์วันนี้

BTS (ปิด 14 ถือ/เป้าใหม่ 14 เดิม 13), VNT (ปิด 23.8 ซื้อ/เป้า 29)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (-) โดนัล ทรัมป์ เตือน พร้อมเก็บภาษีสินค้าจีนเพิ่ม หากทั้งสองประเทศยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้: วานนี้ ทรัมป์ ออกมาขู่จีนอีกครั้งเพื่อเร่งรัดให้จีนรีบทำข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับสหรัฐ ไม่เช่นนั้นสหรัฐจะเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีกทันทีในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ ซึ่งปัจจุบันการเจรจาเฟสแรกระหว่างสองประเทศยังติดปัญหา เนื่องจากยังมีข้อเรียกร้องที่ตกลงกันไม่ได้ อาทิ สหรัฐเรียกร้องให้จีนนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐเพิ่มรวมถึงลดข้อกำหนดที่สหรัฐจะต้องถ่ายโอนเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญาให้กับจีน ขณะที่จีนเรียกร้องให้ โดนัล ทรัมป์ ระงับการเรียกเก็บภาษี โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่จะถูกขึ้นภาษีในช่วงวันที่ 15 ธ.ค.19
  • (-) กลุ่มธุรกิจน้ำมัน - ราคาน้ำมันดิบร่วงแรงกว่า 1.84 เหรียญ จากข่าวรัสเซียไม่เห็นด้วยที่จะปรับลดการผลิตลงอีก: ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลงแรงกว่า 1.84 ดอลลาร์ (-3.2%) ปิดที่ระดับ 55.21 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นับเป็นระดับราคาปิดต่ำที่สุดของเดือนนี้ โดยมีปัจจัยกดดัน 2 ประเด็น คือ 1) รัสเซียออกมาให้ข่าวโดยระบุว่ารัสเซียจะไม่ลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบลงอีกในการประชุมของกลุ่ม OPEC + Non OPEC ที่จะมีขึ้นในช่วงวันที่ 5-6 ธ.ค.นี้ และ 2) กังวลสต๊อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น หลังจากตลาดคาดว่าสต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐจะเพิ่มขึ้นอีก 1.5 ล้านบาร์เรล เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 4 ราคาน้ำมันดิบที่ลดลงจะยังเป็นปัจจัยลบกดดันผลประกอบการและ Sentiment ของหุ้นในกลุ่มธุรกิจน้ำมัน, โรงกลั่น และปิโตรฯ
  • (+/-) ปัจจัยที่ต้องติดตาม พรุ่งนี้ ไทยประกาศตัวเลขส่งออกนำเข้าเดือน ต.ค. และ เฟดเปิดเผยรายงานการประชุม (Fed minute): พรุ่งนี้กระทรวงพาณิชย์จะประกาศตัวเลขส่งออกเดือน ต.ค.ของไทย เบื้องต้น Bloomberg consensus คาดยอดส่งออกจะยังหดตัวอีก -3.85% ติดลบมากขึ้นจากเดือน ก.ย.ที่ -1.39% ภาคส่งออกที่ยังหดตัวจะยังกดดันต่อภาพรวม GDP ของไทยในไตรมาส 4/19 ส่วนช่วงเย็นติดตามการเปิดเผยรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งเชื่อว่ารายงานดังกล่าวจะไม่ต่างจากถ้อยแถลงของประธานเฟดซึ่งระบุว่าเฟดจะหยุดพักการปรับลดอัตราดอกเบี้ย หรือเท่ากับว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ที่ระดับ 1.75% นั่นเอง