‘กองทุน’เพิ่มน้ำหนัก‘หุ้นไทย’ ลดดอกเบี้ยไร้ผลกระทบ มองดัชนีสิ้นปี1,700จุด

‘กองทุน’เพิ่มน้ำหนัก‘หุ้นไทย’ ลดดอกเบี้ยไร้ผลกระทบ มองดัชนีสิ้นปี1,700จุด

“กองทุน”มองตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปีนี้ “ผันผวน” แกว่งตัวในกรอบ 1,600-1,700 จุด “บลจ.ทิสโก้” ชี้นักลงทุนสถาบันกลับมาเพิ่มน้ำหนักลงทุน มองดัชนีระดับ 1,600 จุดน่าลงทุนแถมเริ่มมีข่าวดีจากสงครามการค้า รวมถึงการปรับลดดอกเบี้ย

นักลงทุนสถาบันเริ่มปรับมุมมองต่อตลาดหุ้นไทย  จากที่เคยขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง กลับมาเป็นผู้ซื้อสุทธิติดต่อกัน 7 วันทำการ ระหว่างวันที่ 28 ต.ค. -5 พ.ย.   รวมมูลค่าซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย 19,053.171  ล้านบาท  

นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า  ปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนสถาบันกลับมาให้น้ำหนักตลาดหุ้นไทยมากขึ้น เนื่องจากดัชนีตลาดปรับตัวมาอยู่ในระดับที่ระดับต่ำกว่า 1,600 จุด ซึ่งเป็นระดับที่น่าสนใจ  ประกอบกับตลาดรับข่าวความเสี่ยงเรื่องสงครามการค้าไปมากแล้ว ในทางตรงกันข้ามคาดว่าจะเริ่มมีข่าวดีจากการบรรลุข้อตกลงระหว่างจีนกับสหรัฐ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลง

บริษัทมองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีนี้ ที่ระดับ 1,750-1,800 จุด แม้ว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.)โดยรวม ยังคงถูกกดดันจากเศรษฐกิจที่อ่อนตัวลง แต่ดอกเบี้ยยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุน ทำให้ Earning yield gap ระหว่างการลงทุนในหุ้นเทียบกับพันธบัตรรัฐบาล ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้ลงทุนในหุ้นยังคงน่าสนใจ เมื่อเทียบกับลงทุนในพันธบัตร

แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในไตรมาสสุดท้าย คาดว่า ยังคงแกว่งตัวในกรอบเดิม 1,600-1,700จุด ตลาดมีดาวน์ไซด์จำกัดเนื่องจากการดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)  ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลยังมีต่อเนื่อง และเม็ดเงินจากกองทุนหุ้นระยะยาว( LTF) ซึ่งเป็นปีสุดท้ายจะเข้ามาช่วยสนับสนุนตลาดอีกทางหนึ่ง

นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ. กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลง 0.25%  เร็วกว่าที่ทาง บลจ.กสิกรไทยคาดไว้ แต่เชื่อว่าไม่มีผลกระทบต่อการลงทุน และการปรับพอร์ตของนักลงทุนมากนัก เนื่องจากภาพใหญ่ของเศรษฐกิจไม่ได้แตกต่างไปจากเดิม ยังคงชะลอตัวลง

“ผลกระทบจากการลดดอกเบี้ยนโยบายต่อธนาคารขนาดใหญ่ โดยเฉพาะฝั่งอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ น่าจะเห็นผลกระทบชัดเจนในปีหน้า ส่วนใหญ่ตลาดได้รวมอยู่ในประมาณการแล้ว รวมถึงราคาหุ้นกลุ่มธนาคารก็ได้ปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมาก”

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ ขึ้นอยู่กับพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน หากแย่ลง แนวรับน่าจะอยู่ที่ 1,550 จุด แต่ดูแนวโน้มน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นหรือทรงตัว  จึงมองดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,600-1,680  จุด กลุ่มที่มีโอกาสเติบโตดี คือ คอนซูมเมอร์ สถาบันการเงิน กลุ่มท่องเที่ยว สาธารณูปโภค และนิคมอุตสาหกรรม"

นายวิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ. พรินซิเพิล จำกัด กล่าว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ เงินลงทุนจากLTF  มีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นกว่า 30,000 ล้านบาท หนุนให้ดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีนี้มีโอกาสแตะที่ 1,600 จุด ส่วนกรณีการ ไม่ต่ออายุกองทุน LTF ที่ครบกำหนดในสิ้นปีนี้ เงินลงทุนมีโอกาสไหลเข้ากองทุนหุ้นเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) แทน จากตัวเลขการลงทุนผ่านกองทุน RMFในปัจจุบันปรับตัวเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับในอดีต