'กมธ.สารพิษ' เตรียมเสนอ 5 ประเด็นให้รัฐบาลเยียวยา หลังแบน 3 สารเคมีอันตราย
“กมธ.สารพิษ” เตรียมเสนอ 5 ประเด็นให้รัฐบาลเยียวยา เกษตรกร - จัดกองทุนเยียวยา หลังแบน 3 สารเคมีอันตราย พร้อมชงหลักการ 2 ร่างกม.ดูแลปชช. - เอาผิดเกษตรกร ใช้สารเคมีเกินมาตรฐาน
คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการควบคุมการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายชวลิต วิชยสุทธ์ิ ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย เป็นประธานกมธ.ฯ นำคณะลงพื้นที่ที่ห้างสรรพสินค้า เดอะมอลล์ สาขาบางกะปิ เพื่อศึกษาระบบการตรวจสอบสารปนเปื้อนในผัก และผลไม้ ก่อนวางจำหน่าย ผ่านเจ้าหน้าที่ของเดอะมอลล์ สาขาบางกะปิ หลังจากลงพื้นที่เพื่อรับฟังข้อมูล นายชวลิตให้สัมภาษณ์ว่า การทำงานของกมธ.ฯ จะครบกำหนด 60 วัน วันที่ 12 พฤศจิกายนนี้ จากนั้นกมธ.จะต้องทำรายงานเพื่อนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อส่งต่อไปยังรัฐบาล เบื้องต้นในรายงานของกมธ.ฯ นอกจากมติของกมธ.ฯต่อการสนับสนุนการเลิกใช้ 3 สารเคมีอันตรายอย่างถาวร คือ พาราควอต คลอร์ไพรีฟอส และไกลโฟเซต แล้ว ยังมีรายละเอียดสำคัญ คือ 1.การสนับสนุนให้รัฐบาลประกาศการทำเกษตรอินทรีย์ให้เป็นวาระแห่งชาติ ผ่านการสนับสนุนและส่งเสริมผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง , 2.ให้ศึกษาและพิจารณาการยกเลิกการใช้สารเคมีอันตรายอื่นๆ นอกจาก 3 สารเคมี ที่เป็นพิษอันตรายกับประชาชน
เบื้องต้นพบว่าการใช้สารเคมีด้านการเกษตรยังม่อีก 100 ชนิดที่ควรพิจารณาให้ยกเลิกการใช้, 3.ส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าถึงตัวเลือกใหม่ด้านการเกษตรกรรม ผ่านการกระจายข้อมูลจากหน่วยงานของรัฐ หรือ ปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อให้เกษตรกรเลือกปฏิบัติแทนการใช้สารเคมีอันตราย และการเข้าถึงเครื่องจักรกลเพื่อใช้ในการเกษตรที่ราคาถูก
นายชวลิต กล่าวด้วยว่า 4.รัฐบาลต้องงดเว้นการเก็บภาษีเครื่องจักรกลเพื่อใช้ในการเกษตร, 5.ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืช ผัก เพื่อบริโภคภายในประเทศแทนการนำเข้า ทั้งนี้มีตัวเลขจากหน่วยงานรัฐ ระบุว่าต่อปี ไทยนำเข้าผักจากประเทศจีน กว่า 5.9 หมื่นตัน นอกจากนั้นจะมีมาตรการข้อเสนอด้านการออกกฎหมาย คือ ร่างกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครอง ดูแลเกษตรกรอย่างยั่งยืน และ ร่างกฎหมายว่าด้วยการตรวจสอบเกษตรกรผู้ผลิตพืช ผัก เพื่อเอาผิดเกษตรกรที่พบการใช้สารเคมีในพืชผัก ผลไม้ ซึ่งเกินกว่าปริมาณที่กฎหมายกำหนด ขณะที่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการแบน 3 สารเคมีอันตรายจะเสนอให้รัฐบาลตั้งกองทุนเยียวยาและช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วนด้วย
“ในสัปดาห์หน้าซึ่งเป็นการทำงานครั้งสุดท้ายกมธ.ฯ จะหารือถึงแนวทางการผลักดันงานต่อไป ทั้งนี้ยอมรับว่าคงไม่สามารถต่ออายุการทำงานของกมธ.ฯ ได้แต่ในแนวทางที่ต้องขับเคลื่อนต่อไป เพื่อการคุ้มครองประชาชน หรือผู้บริโภคต้องเดินหน้าต่อไป ดังนั้นแนวทางดังกล่าวกมธ.จะพิจารณาในข้อเสนออื่นๆ ของกมธ.ด้วย” นายชวลิต กล่าว
ขณะที่ นายดำรง พิเดช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักผืนป่าประเทศไทย ฐานะกมธ. กล่าวว่า ตนจะเสนอให้ต่ออายุการทำงาของกมธ.ฯ เพื่อให้การทำงานต่อเนื่องหลังจากที่ส่งรายงานต่อสภาฯ และหมดวาระทำงานวันที่ 12 พฤศจิกายน เนื่องจากมีประเด็นที่ต้องขับเคลื่อนต่อ โดยเฉพาะประเด็นการคุ้มครองชีวิตประชาชนผ่านการออกกฎหมายเอาผิดเกษตรกรที่ใช้สารเคมีอันตรายเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เช่น หากพบการปนเปื้อนของสารเคมีเกินมาตรฐาน ต้องสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ว่ามาจากเกษตรกรผู้ผลิตรายได้ และควรมีบทลงโทษ เช่น จับ หรือ ปรับ เป็นเงิน 5 แสน ถึง 6 แสนบาทเป็นต้น ทั้งนี้ต้องมีกฎหมายขึ้นทะเบียนเกษตรกรเพื่อให้การตรวจสอบย้อนหลังและการดำเนินคดีสามารถทำได้อย่างจริงจัง ทั้งนี้ตนเชื่อว่ามาตรการดังกล่าวจะประสบความสำเร็จ เพราะหากมีการสุ่มตรวจหรือเอาผิดเกษตรกรที่ใช้สารเคมีอันตรายเกินมาตรฐานได้ 2-3 รายการระมัดระวังและการปฏิบัติตามกรอบกฎหมายที่ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคจะเกิดขึ้น