หวั่น 'เบี้ยวหนี้' ลาม 'ไทยบีเอ็มเอ' จับตาหุ้นกู้นอนเรทติ้ง

หวั่น 'เบี้ยวหนี้' ลาม 'ไทยบีเอ็มเอ' จับตาหุ้นกู้นอนเรทติ้ง

“ไทยบีเอ็มเอ” จับตากลุ่มหุ้นกู้นอนเรทฯใกล้ชิด หลังเศรษฐกิจชะลอตัวลง-หนี้เสียแบงก์พุ่ง หวั่นลุกลามเป็นการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้เพิ่ม พร้อมคาดทั้งปีมียอดออกหุ้นกู้ภาคเอกชนแตะ 1 ล้านล้านบาท ลุ้นเงินบาทแข็งค่ากดดันกนง.ลดดอกเบี้ยปลายปีนี้

นายธาดา พฤฒิธาดา กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า สมาคมฯกำลังจับตาดูกลุ่มผู้ออกตราสารหนี้ (หุ้นกู้) ที่มีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นกู้แบบไม่มีการจัดอันดับเครดิตเรทติ้ง (Non-rated) เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวลง ซึ่งส่งผลให้เริ่มเห็นตัวเลขสินเชื่อไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของธนาคารพาณิชย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จึงทำให้รู้สึกกังวลว่าปัญหาดังกล่าวอาจลุกลามกลายมาเป็นการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ด้วยหรือไม่

ทั้งนี้จากการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง พบว่ายอดการผิดนัดชำระหนี้ในช่วงที่ผ่านมามีประมาณ 9 บริษัท ซึ่งยังมีการผิดนัดชำระหนี้ที่ยังไม่สามารถชำระคืนได้จำนวน 5 บริษัท มูลค่ารวมประมาณ 5,680 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 0.14% ของมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชนทั้งหมดราว 3.96 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่ายังค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับมูลค่าหุ้นกู้คงค้างทั้งหมด ขณะที่ในส่วนข้อมูลเอ็นพีแอลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ณ สิ้นไตรมาส 2/2562 พบว่ามีราว 450,557 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 2.95% ของสินเชื่อรวมธนาคารพาณิชย์ทั้งหมด 15.3 ล้านล้านบาท

ยอดออกหุ้นกู้ไร้เรทติ้งพุ่ง

ขณะที่ในส่วนของมูลค่าการออกหุ้นกู้ระยะยาว (มากกว่า 1ปี) พบว่ามีการออกหุ้นกู้ Non-rated ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาแล้วกว่า 39,489 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 33,915 ล้านบาท ซึ่งเปรียบเทียบกับหุ้นกู้ที่มีเรตติ้ง AA-ถึงAAA ที่มียอดออกเพียง 110,745 ล้านบาท ลดลงกว่า 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 170,740 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากกลุ่มบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ที่ออกหุ้นกู้ปีนี้น้อยลง

“ในส่วนของบริษัทที่ไม่ทำเครดิตเรตติ้งที่เพิ่มขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งอาจเพราะเขามองว่าหากทำอยากได้เรตติ้ง A ขึ้นไปมากกว่า ซึ่งหากไม่ได้ระดับดังกล่าวก็คงไม่ต้องทำเรตติ้งก็ได้ เพราะก็ยังสามารถขายหุ้นกู้ได้อยู่ และบางกลุ่มยังมองว่าช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำเรตติ้ง เนื่องจากต้องการขายกลุ่มคนเล็กๆเลยมองว่าไม่เห็นจำเป็นต้องทำเรตติ้งก็ได้”

มูลค่าหุ้นกู้ทั้งปีส่อแตะ1ล้านล้าน

นายธาดา กล่าวต่อว่าขณะที่คาดว่ายอดการออกหุ้นกู้ระยะยาวปีนี้จะมีมูลค่าแตะ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ 830,000 ล้านบาท หลังจากในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมามียอดออกหุ้นกู้แล้ว 833,427 ล้านบาท ซึ่งพบว่ามาจากกลุ่มธนาคารและกลุ่มอสังหาฯที่ออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยกลุ่มธนาคารออกหุ้นกู้แล้วประมาณ 245,749 ล้านบาท และกลุ่มอสังหาฯราว 587,677 ล้านบาท และถือว่าเป็นกลุ่มเดียวที่มียอดการออกเพิ่มขึ้นทุกปีตลอด 3 ปีที่ผ่านมา

 ส่วนแนวโน้มในไตรมาส 4/2562 จะมีมูลค่าหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดมูลค่ารวม 123,251 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีการออกหุ้นกู้ใหม่ชดเชยหุ้นกู้ที่ครบกำหนด (รีไฟแนนซ์) ไม่ต่ำกว่า 70% หรือราว 8.3 หมื่นล้านบาท ประกอบกับจะมีผู้ออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิคล้ายทุน (Perpetual bond) จำนวน 4 บริษัท วงเงินรวมกันประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท ในช่วงที่เหลือของปีเพิ่มเติมด้วย

ทุนต่างชาติไตรมาส3เริ่มไหลออก

นอกจากนี้สำหรับกระแสเงินทุนต่างชาติในตลาดตราสารหนี้ไทยเริ่มพลิกกลับมาเป็นการขายสุทธิในไตรมาส 3/2562 หลังจากธปท.ใช้มาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินและได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติมีการปรับพอร์ตการลงทุนและทยอยขายทำกำไร 

โดยช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาเงินลงทุนต่างชาติในตลาดตราสารหนี้ลดลงราว 75,722 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลดลงในตราสารหนี้ภาครัฐระยะสั้น 126,105 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นในตราสารหนี้ภาครัฐระยะยาว 50,383 ล้านบาท ส่วนมูลค่าการลงทุนสะสมสุทธิต่างชาติในตราสารหนี้ไทย ณ สิ้นไตรมาส 3/2562 อยู่ที่ 918,343 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6.9% ของมูลค่ารวมตลาดตราสารหนี้ไทย

"ทิศทางฟันด์โฟลว์ต่างชาติในช่วงหลังจากนี้คาดว่าคงไม่ขยับไปไหนมาก ซึ่งคงจะไม่ออกหรือเข้ามาเพิ่มเพราะอัตราผลตอบแทนของเราที่ยังต่ำมากอยู่  โดยในส่วนของทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นในช่วงครึ่งหลังคาดจะมีการปรับลดลงตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในช่วงปลายปีนี้ หลังจากเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องและอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงจะเป็นแรงกดดัน นอกจากนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว ซึ่งอยู่ในระดับต่ำที่สุดแล้ว มองว่ามีโอกาสปรับตัวลงได้อีกไม่มาก แต่มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้หากการเจรจาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนมีแนวโน้มที่ดีขึ้น"