‘เอเซียพลัส’เปิด20หุ้น รับอานิสงส์‘เอสอีเอฟ’

‘เอเซียพลัส’เปิด20หุ้น รับอานิสงส์‘เอสอีเอฟ’

บล.เอเซีย พลัส เปิดโผ 20 หุ้นที่มีโอกาสถูกกองทุนเพิ่มนํ้าหนักในการลงทุนมากที่สุด หากนำกองทุนหุ้นยั่งยืนมาทดแทนกองทุนรวมออมหุ้นระยะยาว คาดเม็ดเงินสัดส่วนกว่า 65% ของกองทุน LTF โยกมาลงทุนเพิ่มเติม พร้อมเชียร์ PTTEP-JWD ลุ้นรับเม็ดเงินก้อนโต

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส เปิดเผยว่าฝ่ายวิจัยบล.เอเซีย พลัส ได้ประเมินค้นหาหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากการจัดตั้งกองทุนหุ้นยั่งยืน (SEF) ที่จะเข้ามาทดแทนกองทุนรวมออมหุ้นระยะยาว (LTF) หลังสภาธุรกิจตลาดทุน (เฟทโก้) ได้ทำการยื่นเสนอกองทุนรวมเพื่อการลงทุนระยะยาวแบบใหม่ในช่วงต้นเดือน ส.ค.2562 เพื่อมาทดแทนการลงทุน LTF ในปัจจุบันที่จะหมดอายุภายช่วงในช่วงสิ้นปีนี้ โดยพบว่ามี 20 หุ้นที่มีโอกาสถูกกองทุนเพิ่มนํ้าหนักในการลงทุนมากที่สุด

ขณะที่คาดว่าจะมีการโยกเม็ดเงินกองทุนสัดส่วนกว่า 65% ของกองทุน LTF เดิมที่เคยถือหุ้นทั้งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ซึ่งมีหุ้นจดทะเบียนทั้งสิ้นกว่า 780 บริษัท หันมาลงทุนในหุ้นยั่งยืนแทน โดยหากพิจาณาจากดัชนี SETTHSI มีทั้งสิ้นเพียง 53 บริษัทและบวกกับกองทุนโครงสร้างพื้นฐานในตลาดจำนวน 8 บริษัท จะพบว่าจำนวนหุ้นในนโยบายการลงทุนในกองทุนแบบใหม่นั้นจะน้อยกว่าแบบเดิมมาก จึงทำให้ต้องมีหุ้นหลายๆบริษัทได้รับประโยชน์จากการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนมากขึ้น

"ฝ่ายวิจัยฯได้ทำการค้นหาว่าจะมีหุ้นอะไรได้ประโยชน์จากประเด็นดังกล่าว ซึ่งเริ่มต้นจากนำกองทุน LTF ทั้งหมดจำนวน 93 กองทุนมาตรวจสอบข้อมูลพร้อมกับเปรียบเทียบกับสัดส่วนมาร์เก็ตแคปของหุ้นในดัชนี SETTHSI รวมกับกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งได้ผลลัพธ์ออกมาแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่  1.พบว่า 20 หุ้นแรกมีโอกาสที่กองทุนจะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนมากสุดในระยะถัดไป และ2.พบมีจำนวน 4 หุ้น ที่เป็นหุ้นอยู่นอกตาสายของกองทุน แต่ถูกนำมาคำนวณในดัชนี SETTHS ด้วย"

นายเทิดศักดิ์ กล่าวต่อว่าทั้งนี้มีหุ้นที่ฝ่ายวิจัยฯชื่นชอบในกลุ่มดังกล่าวจำนวน 2 บริษัท คือ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ซึ่งเดิมกองทุน LTF ทั้งหมด 93 กองทุน ถือหุ้นรวมกันอยู่ 3.15% ยังน้อยกว่าสัดส่วนมาร์เก็ตแคปหุ้นในดัชนี SETTHSI ซึ่งบวกกับกองทุนโครงสร้างพื้นฐานรวมกันที่ระดับ 4.97% ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงที่กองทุนจะต้องลงทุนใน PTTEP เพิ่มราว 1.82% หรือคิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 7,100 พันล้านบาท ขณะที่อีกหุ้นคือ บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ซึ่งถือเป็นหุ้นนอกสายตาที่กองทุน LTF ทั้ง 93 กองทุนไม่มีการถือครองอยู่เลย ขณะที่ในดัชนี SETTHSI บวกกับกองทุนโครงสร้างพื้นฐานให้น้ำหนักลงทุนในหุ้น JWD อยู่ที่ 0.09% จึงมีโอกาสสูงที่กองทุนจะเพิ่มการลงทุนทันที หรือคิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 300 ล้านบาท

นายภารดร เตียรณปราโมทย์ นักวิเคราะห์เชิงปริมาณ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่าคาดว่าหากมีการเปลี่ยนจากกองทุนรวม LTF เป็นกองทุน SEF จะส่งผลให้มีเม็ดเงินลงทุนในตลาดหุ้นลดลงเหลือปีละประมาณ 30,000 ล้านบาท จากเดิมที่ LTF มีเงินลงทุนในหุ้นประมาณ 66,000 ล้านบาท เนื่องจากกองทุน SEF จะเน้นเจาะกลุ่มนักลงทุนที่มีฐานเงินเดือนและเม็ดเงินลงทุนต่ำกว่า LTF อย่างไรก็ตามในกรณีที่ไม่มีการต่อต่ออายุสิทธิลดหย่อนภาษี LTF และไม่มี SEF เข้ามาทดแทนคาดว่าจะส่งผลให้เม็ดเงินที่เคยเข้าลงทุนในตลาดหุ้นหายไปทุกๆ 1 หมื่นลัานบาท และจะกระทบดัชนีตลาด ณ ขนาดนั้นลดลง 2% ดังนั้นหากไม่มีการต่ออายุ LTF และไม่มี SEF เข้ามาแทนเม็ดเงินที่เคยเข้าลงทุน 3.3 หมื่นล้านบาทต่อปีจะกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้นลดลงราว 6%