ต้องรู้ทันสื่อเพราะ“FAKE NEWS" ไม่มีวันหมด

ต้องรู้ทันสื่อเพราะ“FAKE NEWS" ไม่มีวันหมด

เพราะ“FAKE NEWS ไม่มีวันหมดแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าข่าวไหนเป็นข่าวปลอม วิธีที่ดีที่สุดคือการรู้เท่าทันสื่อ

วันนี้ (16ก.ย.) LINE ในฐานะแพลตฟอร์มออนไลน์ระดับโลก ร่วมกับ สำนักข่าวเอพี และสำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัดเวิร์คช้อป STOP “FAKE NEWS” ข่าวจริงหรือข่าวปลอม คิดก่อนกด ให้ความรู้และความเข้าใจแก่นิสิตนักศึกษา และเยาวชนคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะผู้ที่ศึกษาในด้านการสื่อสารมวลชน ถึงผลกระทบของปัญหาข่าวปลอม ที่ เกสร เออเบิร์น รีสอร์ท ชั้น 19 ตึกเกสรทาวเวอร์ เมื่อวันที่ 16 กันยายน และ ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้าขอนแก่น วันที่ 19 กันยายน โดยมีนิสิต นักศึกษา และอาจารย์ในสาขาวิชาด้านสื่อสารมวลชน สนใจเข้าร่วม รวมกว่า 400 คน โดย ทาแมร์ ฟาคาฮานี Deputy Director – Global News Coordination สำนักข่าวเอพี กล่าวในงานเปิดเวิร์คช้อป “STOP FAKE NEWS” ข่าวจริงหรือข่าวปลอม คิดก่อนกด ว่าจากการสำรวจ 40 ประเทศทั่วโลก พบว่า กว่า 55% คิดว่าข่าวปลอมเป็นสิ่งที่แยกยาก ขณะที่คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ยังคงแชร์ถึงแม้จะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องจริง โดยกลุ่มตัวอย่างอายุ 18-29 ปี แชร์ข่าวปลอม 31% และอายุ 50 ปีขึ้นไป มีการแชร์ข่าวปลอม 27% การตรวจสอบของข่าวปลอม ของสำนักข่าวเอพี มีทั้งใช้วิธีโทรกลับไปสอบถามแหล่งข่าว รวมถึงใช้เทคโนโลยีในการตรวจสอบภาพ วิดีโอ ดูการตัดต่อ ซึ่งขณะนี้ข่าวปลอมที่กำลังมาแรงคือ เกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เนื่องจากกำลังมีการเลือกตั้งในปี 2563 **ข่าวปลอม7ประเภท กนกพร ประสิทธิ์ผล ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาสื่อใหม่ ไทยพีบีเอส กล่าวว่า กข่าวปลอม แบ่งได้ 7 ประเภท คือ 1. Satire or Parody เสียดสีหรือตลก 2. False Connection โยงมั่ว 3. Misleading ทำให้เข้าใจผิด 4. False Context ผิดที่ผิดทาง นำภาพไม่เกี่ยวข้องมาสร้างข่าวต่อ 5. Impostor โกหกที่มาของข้อมูล 6. Manipulated ตัดต่อภาพ เสียง คลิปวิดีโอ และ 7. Fabricated กุข่าวปลอม สวมรอยเป็นสำนักข่าว ข่าวปลอมสร้างโดยคน 4 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มเกรียนนักเลงคีย์บอร์ด โพสข้อความเพื่อความสนุกส่วนตัว 2. กลุ่มหวังเงินค่าโฆษณา โพสต์สร้างกระแสหวังยอด Follow (ติดตาม) 3. กลุ่มสร้างความเกลียดชัง จะโพสต์ข้อความหรือ Hate Speech ดูหมิ่น ยุยง ปลุกปั่น 4. กลุ่มหลอกลวง สร้างข้อมมูลเท็จ หลอกขายสินค้า หรือฉ้อโกง **6วิธีเชคว่า“ข่าวปลอม-ไม่ปลอม” วิธีเชคข้อมูลเพื่อให้รู้เท่าทันข่าวปลอม มี 6 ข้อสำคัญ ได้แก่ 1. ตรวจสอบแหล่งที่มาของข่าวสารข้อมูล เช่น สำนักข่าว หน่วยงาน หรือชื่อผู้ให้ข้อมูล 2. มีเว็บไซต์อื่น หรือแหล่งข่าวอื่นเผยแพร่หรือไม่ 3. ภาพเก่า เล่าใหม่ หรือไม่ เช็คภาพประกอบ TINEYE หรือ Google Reverse Image Search 4. เช็คความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์หรือเพจ เช่น Brand Name, URL, Logo/Verified, ADS, Font, Spelling หรือ คำผิด และ Click Bait 5. ลักษณะเนื้อข่าวที่ต้องสังเกต ข่าวไม่จริงมักเล่นกับ ความเชื่อ เหตุการณ์รุนแรง ข่าวร้าย เลือกข้าง สร้างความเกลียดชัง และคนดังมีชื่อเสียง และ 6. ไม่นิ่งนอนใจ รายงานเมื่อเจอข่าวปลอม รีบช่วยเตือน หรือรายงานไปยังผู้เกี่ยวข้อง ขณะนี้บริษัทโซเชียลมีเดียรายใหญ่ ต่างพากันตระหนักในการลดปัญหาดังกล่าว โดย “Facebook” พยายามลดการแสดงผลเนื้อหาบน News Feed ด้านสุขภาพ การรักษาโรคที่เกินจริง รวมถึงเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ อาทิ ปุ่มแจ้งเตือนข่าวปลอมเพื่อเตือนผู้ใช้เฟซบุ๊กด้วยกันเอง และปุ่ม About this article ตรวจสอบแหล่งข่าวก่อนแชร์ เช่น “Youtube” เตรียมปรับลดการแนะนำวิดีโอ ที่เข้าข่ายในกลุ่มของ Borderline หรือเรื่องราวปาฏิหาริย์ต่างๆ ส่วนผู้ให้บริการค้นหาข้อมูลอันดับหนึ่งของโลกอย่าง “Google” ได้เพิ่มมาตรการคัดกรองข่าวปลอมและข้อมูลที่บิดเบือนความจริงบนอินเทอร์เน็ต หลังเกิดปัญหาการแพร่ขยายอย่างรวดเร็วของข่าวปลอมในปัจจุบัน และ “LINE” ให้ความรู้แก่เยาวชนแล้วตั้งหน่วยงานตรวจสอบข่าวปลอมของไต้หวัน รวมถึงพัฒนาแพลตฟอร์มในการช่วยกรอง ตรวจจับ และเชื่อมต่อกับหน่วยงานของสภาบริหารและตอบข้อกังขาของประชาชนได้ **วิธีแก้ปัญหา“ข่าวปลอม”ในต่างประเทศ ใน “อังกฤษ” ประกาศจะเสริมหลักสูตร การเรียนการสอนเรื่อง Internet Safety ในชั้นประถมและมัธยม เริ่มในปี 2563 เพื่อเสริมทักษะแก่เด็ก เยาวชน รู้เท่าทันข่าวลวงและข่าวปลอม “สิงคโปร์” มีกฎหมายป้องกันการแพร่กระจายของข่าวปลอม เปิดทางให้ทางการสามารถสอดส่องแพลตฟอร์มออนไลน์ แชทส่วนตัวของประชาชนได้ “เยอรมัน” ควบคุมเนื้อหา Hate Speech ให้ลบข้อมูลที่ผิดกฎหมายภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งหากฝ่าฝืนโทษปรับสูงถึง 50 ล้านยูโร และ “ไทย” ตั้งศูนย์ FAKE NEWS CENTER โดย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เน้นสื่อสารข่าวการเตือนภัยพิบัติและข่าวลวงที่กระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน “FAKE NEWS ไม่มีวันหมดไป เพราะแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีเติบโตอย่างรวดเร็ว คนไทย 70-80% กระโดดเข้ามาสู่โลกอินเทอร์เน็ตทำให้การเติบโตของ FAKE NEWS มีมากขึ้น ทางที่ดีที่สุด คือ การสร้างความรู้เท่าทันสื่อ โดยการทำงานร่วมกันของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องหมด” กนกพร กล่าว พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า ข่าวปลอมเป็นปัญหาที่กระทบทั้งด้านสังคมและความมั่นคง ทุกประเทศต้องการจะหาวิธีการป้องกัน วันนี้ทุกคนสามารถโพสต์หรือแชร์อะไรตามอารมณ์ชั่ววูบ และอาจกระทบต่อสังคมในวงกว้างได้ การตั้งศูนย์ข่าวปลอม FAKE NEWS CENTER ความจริงแล้วคือปลายเหตุ สิ่งที่จะหยุดข่าวปลอมได้ คือ ผู้เสพต้องสามารถ วิเคราะห์ได้และไม่แชร์