รีบาวด์

รีบาวด์

ดัชนีวานนี้ปรับตัวลงแรง เช่นเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค จากความกังวลสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ

โดยภาพรวมนักลงทุนในตลาดโลกยังเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง อาทิ เงินเยน เงินสวิส ทองคำ และพันธบัตรสหรัฐ และมีการขายสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดที่ 1,620.23 จุด (-30.41 จุด) Volume 6.4 หมื่นลบ. นักลงทุนต่างชาติ -3.3 พันลบ. TFEX Net -13,744 สัญญา ตลาดตราสารหนี้ –-2,779 ลบ.

ปัจจัยบวก / ปัจจัยลบ

+ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก 372.54 จุด +1.44% หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศเลื่อนเวลาเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เข้าไปลงทุนจำนวนมากในประเทศจีน เช่น แอปเปิล และอินเทล

+ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดบวก 2.17 ดอลลาร์ +4% ปิดที่ 57.10 ดอลลาร์/บาร์เรล ขานรับรัฐบาลสหรัฐประกาศเลื่อนการเรียกเก็บภาษีสินค้าจีน

+FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่านักลงทุนคาดการณ์ว่า มีโอกาสถึง 92.7% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 17-18 ก.ย. จากระดับ 84.6% เมื่อวานนี้

+ครม.เร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 62 ในช่วงไตรมาสสุดท้าย (ก.ค.-ก.ย.62)

+ Fund Flow ต่างชาติมีสถานะซื้อ YTD 4.1 หมื่นลบ. ค่าเงินบาท 30.785 บาท/US

+/-สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไปเพิ่มขึ้น 0.3%MoM ในเดือนก.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% ติดต่อกัน 2 เดือน

-อิหร่านเผยอังกฤษเตรียมปล่อยเรือบรรทุกน้ำมันของอิหร่านในวันนี้

-ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยเดือนก.ค.62 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ต่ำสุดในรอบ 13 เดือนกังวลสงครามการค้า ภัยแล้ง และเงินบาทแข็งค่า

*จับตา EU เผย GDP 2/2019 และ EIA เผยสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย

คาดดัชนีตลาดหุ้นไทย Rebound ตามทิศทางตลาดโลก โดยมีแรงหนุนจากการที่รัฐบาลสหรัฐประกาศชะลอการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในสินค้าบางจำพวก จากเดิม 1 ก.ย. ไปเป็น 15 ธ.ค. ส่งผลให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลลง ประกอบกับได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานหลังราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นแรง 4% คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,620-1,635 จุด

กลยุทธ์การลงทุน

เน้นลงทุนในหุ้น Theme EEC play (AMATA WHA ROJNA EASTW ATP30), หุ้น Defensive Stock (EASTW TTW BCH CPALL BJC),หุ้น High Dividend (SIRI QH TISCO KKP ANAN), หุ้นที่ได้ประโยชน์จากกงน.ลดดอกเบี้ย (SAWAD AEONTS SPALI SIRI JASIF DIF)

หุ้นรายงานพิเศษ

ARROW  ราคาปิด 8.05 บาท “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 10.50 บาท(+) รายงา

      กำไร 2Q62 เท่ากับ 55.3 ล้านบาท ดีกว่าที่เราคาดที่ 39.2 ล้านบาท ราว 41.1% โดยรายได้ใน 2Q19 ทำได้ที่ระดับ 374 ล้านบาท เติบโต QoQ และ YoY นับเป็นรายได้ไตรมาส 2 ที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่เข้าตลาดมา

      (+) Gross Margin ทำได้ดีกว่าที่เราคาดไว้ที่ 23% ออกมาเป็น 29% เนื่องจากได้อานิสงส์จาก เนื่องจากราคาวัตุดิบเหล็กจากจีนปรับตัวลดลงจาก 25-27 บาท/กก. ใน 1Q19 เหลือ 21-24 บาท/กก. ประกอบกับได้รับอานิสงส์เงินบาทที่แข็งค่าเป็นหลัก

      คาดผลประกอบการช่วง 2H19 จนถึง ปี 20 ยังขยายตัวได้ตามการลงทุนในประเทศ โดยหลังจากมีรัฐบาลชุดใหม่ทำให้มีความชัดเจนในเรื่องโครงการลงทุน Mega Projects ของภาครัฐมากขึ้น ประกอบกับราคาวัตถุดิบเหล็กเริ่มกลับมามีเสถียรภาพอีกครั้ง คงประมาณการกำไรสุทธิราว 177.4 ล้านบาท และ 187.6 ล้านบาท เติบโต  +15.5% และ +5.7%YoY

หุ้นมีข่าว   

·      NER Conference call ราคาปิด 2.58 บาท “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 3.10 บาท

(+) รายงานกำไร 2Q62 เท่ากับ 166 ลบ.(ตามคาด) +44%QoQ +251%YoY เติบโตตามการขยายฐานลูกค้าเดิมและใหม่ ปัจจุบันมีลูกค้าหลักทั้งหมด 11 ราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีทั้งหมด 8 ราย ส่งผลให้ปริมาณขาย 2Q62 อยู่ที่ระดับ 6.8 หมื่นตัน (+40%YoY -1%QoQ) และราคาขายเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 48.4 บาท/กก. (+1%YoY +10%QoQ) ด้าน %GPM ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 8.45% จาก 1Q62 และ 2Q60 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 8.19% และ 10% ตามลำดับ

แนวโน้ม 3Q62 คาดว่าปริมาณขายอาจอ่อนตัวลง QoQ เล็กน้อย จากปัจจัยฤดูกาล ประกอบกับสงครามการค้ากดดันยอดส่งออก อย่างไรก็ดี คาดว่าผลประกอบการจะถูกชดเชยด้วย %GPM ที่คาดว่าจะดีขึ้น จากแนวโน้มราคายางที่ลดลง แต่ราคาขายจะถูกรับรู้จากยอดขายล่วงหน้าเมื่อ 2-3 เดือนก่อน ซึ่งมีราคาขายสูงกว่าราคาปัจจุบัน ดังนั้น ผลประกอบการ 3Q62 มีแนวโน้มทรงตัว QoQ

ภาพรวมทั้งปี 62 ผบห.ยังคงยืนยันเป้าปริมาณขายที่ 2.6 แสนตัน และเป้ารายได้ที่ราว 1.3 หมื่นลบ. ใกล้เคียงกับที่เราคาดที่ 1.27 หมื่นลบ. +27%YoY และคาดการณ์กำไรราว 531 ลบ. +9%YoY คงคำแนะนำ “ซื้อ”

·      GCAP Analyst Meeting   “ซื้อเก็งกำไร”

- กำไร 2Q62 เท่ากับ 22.6 ลบ. +65%YoY จากรายได้รวมเท่ากับ 90 ลบ. 19%YoY ยอดปล่อยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นมาที่ 257 ลบ. +13%YoY

- ผลการดำเนินงานมีอัพไซต์จากบริษัท สบายใจมันนี่ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับบริษัท 9F International ในสัดส่วน 51% : 49% คาดว่าจะเริ่มดำเนินการราว ต.ค.  ให้บริการปล่อยสินเชื่อแบบดิจิทัลเลนดิ้ง

- ราคาหุ้นลดลง 34% จาก 4 เดือนที่แล้ว ซื้อขายที่ PE 13 เท่าต่ำกว่า PE กลุ่มที่ 44 เท่า

·      AUCT ราคาปิด 6.20 บาท “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 8.00 บาท

-  (+) รายงานกำไร 2Q62 เท่ากับ 42.84 ลบ. +52.2%YoY -28.1%QoQ

-  ผลประกอบการเติบโตขึ้น YoY จากการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ แต่ดรอป QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล

-  กำไร 1H62 เท่ากับ 102 ลบ. +47%YoY คิดเป็น 50% ของประมาณกำไรทั้งปี 62 ที่ราว 203 ลบ. +19%YoY คงคำแนะนำ “ซื้อ”

·      AU ราคาปิด 6.20 บาท “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 8.00 บาท

-  (+) รายงานกำไร 2Q62 เท่ากับ 63 ลบ. +117%YoY +5%QoQ (เป็นไปในทิศทางเดียวกับที่คาด)

-  เติบโตตามจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นสู่ 38 สาขา จาก 2Q61 มี 30 สาขา และ 1Q62 มี 35 สาขา ตามลำดับ

-  กำไร 1H62 เท่ากับ 123 ลบ. +105%YoY คิดเป็น 62% ของประมาณกำไรทั้งปี 62 ที่ราว 197 ลบ. +34%YoY เตรียมปรับประมาณการเชิงบวก แต่คงคำแนะนำ “ซื้อเมื่ออ่อนตัว”

·      TACC ราคาปิด 4.58 บาท “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 4.90 บาท

-  (+) รายงานกำไร 2Q62 เท่ากับ 43 ลบ. +99%YoY +26%QoQ

-  เติบโตตามจำนวนสาขา 7-11 เครื่องดื่มประจำฤดูกาล และธุรกิจใหม่ขายลิขสิทธิ์ตัวการ์ตูนเติบโตดี

-  กำไร 1H62 เท่ากับ 76.4 ลบ. +111%YoY คิดเป็น 64% ของประมาณกำไรทั้งปี 62 ที่ราว 119 ลบ. +75%YoY เตรียมปรับประมาณการเชิงบวก คงคำแนะนำ “ซื้อ”

 

ส.ค. 62 ไม่มีหุ้นเข้าออก MSCI แต่ MSCI ลดน้ำหนักหุ้นไทยลง 0.8% ควรระวังแรงขายในหุ้น CPALL PTT SCC AOT ADVANC BDMS KBANK

  • XO (คำแนะนำ หลีกเลี่ยง อยู่ระหว่างปรับประมาณการลง) กำไร 2Q62 อยู่ที่ 14 ลบ. -67%YoY และ -80%QoQ จากยอดขายในประเทศอังกฤษชะลอตัว โดยยอดขาย 2Q62 อยู่ที่ 210 ลบ. -20%YoY และ –30%QoQ และ GPM อ่อนตัวลงจาก 40% ใน 1Q62 เหลือ 32% ใน 2Q62 ทั้งนี้กำไร 1H62 อยู่ที่ 6 ลบ –8%YoY คิดเป็น 37% ของประมาณการ
  • EKH (ซื้อ ราคาเหมาะสม 7 บาท) กำไร 2Q62 อยู่ที่ 38 ลบ.(ดีกว่าที่เราคาด 9%) +72%YoY แต่ -14%QoQ เนื่องจากมีการเปิดศูนย์ IVF และโรงพยาบาลดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้กำไร 1H62 อยู่ที่ 83 ลบ. คิดเป็น 58% ของประมาณการ โดยเรายังชื่นชอบ EKH เนื่องจาก 3Q62 ผลประกอบการจะเติบโตต่อจากช่วง High season และการเปิดใช้ตึกใหม่
  • PTT (ถือ Consensus 52.88) รายงานกำไร 2Q62 ที่ 2.59 หมื่นล้านบาท (ต่ำกว่าตลาดคาด 3%) -11%QoQ และ -14%YoY โดยกำไรอ่อนตัวลงจากธุรกิจสถานีจำหน่ายน้ำมันและธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีที่ค่าการกลั่นอ่อนตัวและราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวลง ทั้งนี้กำไร 1H62 อยู่ที่ 5.52 หมื่นล้านบาท –21%YoY อย่างไรก็ผลประกอบการของ PTT มีความผันผวนน้อยเนื่องจากการกระจายการลงทุนไปยังหลายธุรกิจเราจึง แนะนำ ถือ