ศาลอาญาสั่งยกฟ้อง 24 แกนนำ นปช. คดีก่อการร้าย ปี 53

ศาลอาญาสั่งยกฟ้อง 24 แกนนำ นปช. คดีก่อการร้าย ปี 53

คำพิพากษา "ศาลอาญา" สั่งยกฟ้อง 24 แกนนำ นปช. คดีก่อการร้าย ปี 53

ที่ห้องพิจารณา 701 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เวลา 10.30 น. ศาลอ่านคำพิพากษา คดีกล่าวหา แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ร่วมกันก่อการร้าย โดยพนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อายุ 71 ปี อดีตประธาน นปช. จำเลยที่ 1 , นายจตุพร หรือตู่ พรหมพันธุ์ อายุ 54 ปี ประธาน นปช และผู้สนับสนุนพรรคเพื่อชาติ ที่ 2 , นายณัฐวุฒิ หรือเต้น ใสยเกื้อ อายุ 44 ปี เลขาธิการ นปช. และอดีตประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียง พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ที่ 3

กลุ่มแกนนำ-แนวร่วม นปช ที่มี นพ.เหวง โตจิราการ อายุ 68 ปี อดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค ทษช. เป็นจำเลย ที่ 4  , นายก่อแก้ว พิกุลทอง อายุ 54 ปี อดีตสมาชิกพรรค ทษช. ที่ 5  , นายขวัญชัย สาราคำ หรือ ไพรพนา อายุ 67 ปี ที่ 6 , นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก อายุ 61 ปี ที่ 7 , นายนิสิต สินธุไพร อายุ 63 ปี อดีต ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ที่ 8 , นายการุณ หรือเก่ง โหสกุล อายุ 52 ปี ส.ส.เพื่อไทย ที่ 9 , นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท อายุ 68 ปี ที่ 10 , นายภูมิกิติ หรือพิเชษฐ์ สุจินดาทอง อายุ 59 ปี อดีตลูกน้อง คนสนิทพล.ต.ขัตติยะ หรือเสธ.แดง สวัสดิผล อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ที่ 11, นายสุขเสก หรือสุข พลตื้อ อายุ 43 ปี ที่ 12 , นายจรัญ หรือยักษ์ ลอยพูล อายุ 48 ปี การ์ด นปช. ที่ 13  , นายอำนาจ อินทโชติ อายุ  63 ปี ที่ 14 , นายชยุต ใหลเจริญ อายุ 46 ปี หัวหน้าการ์ด นปช. ที่ 15  , นายสมบัติ หรือผู้กองแดง มากทอง อายุ 57 ปี ที่ 16 , นายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ อายุ 34 ปี อดีตคนสนิท เสธ.แดง ที่ 17 , นายรชต หรือกบ วงค์ยอด อายุ 38 ปี ที่ 18 , นายยงยุทธ ท้วมมี อายุ 63 ปี แนวร่วม นปช.ที่ 19

นายอร่าม แสงอรุณ อายุ 58 ปี หัวหน้าการ์ด นปช.อดีตลูกน้องคนสนิท เสธ.แดง ที่ 20 , นายเจ็มส์ สิงห์สิทธิ์ อายุ 38 ปี อดีตคนสนิท เสธ.แดง ที่ 21  , นายมานพ หรือเป็ด ชาญช่างทอง อายุ 58 ปี กลุ่มการ์ด นปช.ที่ 22 ,  นายสมพงษ์ หรืออ้อ หรือแขก หรือป้อม บางชม ที่ 23 , นายอริสมันต์ หรือกี้ร์ พงศ์เรืองรอง อายุ 55 ปี แกนนำ นปช. ที่ 24 ในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ โดยมีความมุ่งหมายขู่เข็ญรัฐบาลไทยให้กระทำการใด หรือเพื่อสร้างความปั่นป่วนโดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 , ขู่เข็ญว่าจะทำการก่อการร้าย โดยสะสมกำลังพลหรืออาวุธ หรือตระเตรียมการสมคบกันเพื่อก่อการร้าย ตาม ม.135/2 ,ร่วมกันชุมนุมหรือมั่วสุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปในท้องที่ผู้รับผิดชอบประกาศกำหนด อันเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548

โดย นายยศวริศ หรือเจ๋ง ดอกจิก จำเลยที่ 7 ซึ่งเป็นอดีตแกนนำ นปช. ยังถูกยื่นฟ้องในความผิดฐานปล้นทรัพย์ และทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 340 ตรี, 358 กรณีร่วมกับกลุ่มผู้ชุมนุมนำอาวุธยุทโธปกรณ์ จากรถลำเลียงของเจ้าหน้าที่ทหารมาด้วย

ส่วน นายอริสมันต์ หรือกี้ร์ แกนนำ นปช. จำเลยที่ 24 ถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หรือวิธีอื่นใดที่ไม่ใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดินฯ ม.116 , มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองโดยผู้กระทำความผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ หรือเป็นหัวหน้าสั่งการฯ ม.215 , เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกการกระทำแล้วไม่เลิก ม.216 ด้วย จากเหตุการณ์พาผู้ชุมนุมไปบริเวณอาคารรัฐสภา

กรณีระหว่างวันที่ 28 ก.พ.  20 พ.ค.53 พวกจำเลย ได้รวมตัวกันชุมนุมอย่างต่อเนื่องที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ และบริเวณแยกราชประสงค์ เพื่อกดดัน ต่อต้านรัฐบาล และบังคับขู่เข็ญ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ประกาศยุบสภา อ้างว่านายอภิสิทธิ์มาเป็นนายกฯ โดยมิชอบ และให้มีการเลือกตั้งใหม่ พร้อมให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญฯ ปี 2550 ซึ่งระหว่างการชุมนุมยังมีการเดินขบวนไปปิดล้อมสถานที่ต่างๆ  , มีการใช้อาวุธเครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม 79 ยิงใส่บ้านพักประชาชน สถานที่ราชการ เช่น กระทรวงกลาโหม ขว้างระเบิดใส่กรมบังคับคดี และอาคารมูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ , ยิงปืนใส่ธนาคารกรุงเทพฯ และมีการสะสมกำลังพลและอาวุธสงครามร้ายแรง ใช้ปืนยิงต่อสู้เจ้าพนักงาน ต่อสู้ขัดขวาง และวางเพลิงเผาทรัพย์สินของรัฐ-เอกชน , เผาห้างสรรพสินค้าและอาคารพาณิชย์ต่างๆ ทั่วกรุงเทพ , เผาศาลากลาง-สถานที่ราชการต่างจังหวัดหลายแห่ง เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่และประชาชนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

สำหรับคดี อัยการทยอยยื่นฟ้องกลุ่มแกนนำ นปช. เป็นชุดๆ 4 สำนวน ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค.53 เป็นคดีหมายเลขดำ อ.2542/2553,  อ.4339/2553, อ.757/2554, อ.4958/2554 , อ.2884/2556 จนครบ 24 คน และมีการรวมพิจารณาคดีเดียวกัน ซึ่งใช้เวลาพิจารณาพยานหลักฐานและสืบพยานบุคคล มานานร่วม 9 ปี โดยระหว่างการสืบพยานศาลจะพิจารณานัดพร้อมเป็นระยะๆ เพื่อร่วมกำหนดกรอบประเด็นสืบและระยะเวลาสืบพยาน เนื่องจากทั้งโจทก์-จำเลย ต่างเสนอขอสืบพยานนับร้อยปาก โดยทำการสืบพยานต่อเนื่อง ซึ่งเริ่มสืบพยานโจทก์ตั้งแต่ช่วงเดือน ธ.ค.55 และเริ่มสืบพยานจำเลยปี 2562 กระทั่งเสร็จสิ้นการสืบพยานนัดสุดท้ายในวันที่ 26 เม.ย.62

ซึ่งจำเลยทั้ง 24 คนให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา  ระหว่างพิจารณา นายเจ็มส์ สิงห์สิทธิ์ อายุ 38 ปี อดีตคนสนิท เสธ.แดง จำเลยที่ 21 หลบหนีคดี ส่วน นายสมบัติ หรือผู้กองแดง มากทอง จำเลยที่ 16 เสียชีวิตระหว่างพิจารณา โดยศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีของจำเลยที่ 16 ที่เสียชีวิต ออกจากสารบบความไปแล้ว (ยุติไม่ดำเนินคดี) ส่วน นายเจ็มส์ จำเลยที่ 21 ที่หลบหนี ก็ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราว (หยุดดำเนินคดีไว้ก่อนจนกว่าจะได้ตัวกลับมาดำเนินคดี)

ขณะที่ จำเลยซึ่งเหลือ 22 คน ได้ประกันตัวทั้งสิ้น 21 คนด้วยหลักทรัพย์ 600,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามกระทำการใดๆ ลักษณะดูหมิ่นผู้อื่น ยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง หรืออาจก่อให้เกิดอันตรายกระทบต่อเกียรติยศ ชื่อเสียง และความเป็นอยู่ของผู้อื่น หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน กับห้ามเดินทางออกนอกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล

โดยวันนี้ ศาล เบิกตัว นายสมพงษ์ หรืออ้อ บางชม จำเลย ที่ 23 มาจากเรือนจำ เพื่อร่วมฟังคำพิพากษากับจำเลยอีก 21 คนที่ได้รับประกันตัวด้วย ขณะที่ นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานที่ปรึกษา นปช. ภรรยาของ นพ.เหวง ก็เดินทางมาให้กำลังพร้อมกับกลุ่มประชาชนสิบกว่าคน มาให้กำลังใจเหล่าแกนนำ นปช.ด้วย ด้านศาลอาญา มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พหลโยธิน ในเครื่องแบบ ราว 30 นาย กระจายทั่วบริเวณรอบอาคารศาลเพื่อดูแลความเรียบร้อย ส่วนภายในอาคารศาลบริเวณชั้น 2 ทางเข้าอาคาร และในห้องพิจารณาคดี มีเจ้าพนักงานตำรวจศาล หรือคอร์ทมาแชล (Court Marshal) ประมาณ 20 นาย ติดตามดูแลรักษาความปลอดภัยใกล้ชิด

ขณะที่ ศาล อ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น เมื่อเวลา 11.45 น. โนศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่คู่ความทั้งสองฝ่ายนำสืบแล้ว เห็นว่า การกระทำที่จะเป็นความผิดฐานก่อการร้ายนั้นจะต้องเป็นการกระทำอันเข้าองค์ประกอบความผิด ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 (1)(2)(3) คือต้องมีลักษณะเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย หรือเสรีภาพของบุคคลใดๆ กระทำการใดๆ อันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง แก่ระบบการขนส่งสาธารณะ , ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐหนึ่งรัฐใด หรือบุคคลใด หรือต่อสิ่งแวดล้อม อันก่อให้เกิดหรือน่าจะเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ โดยการกระทำดังกล่าวนั้น ผู้กระทำต้องมีเจตนาพิเศษ ที่มีความมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทย รัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศให้กระทำหรือไม่กระทำการใดอันจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง หรือเพื่อสร้างความปั่นป่วนให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน แต่หากเป็นการกระทำในการเดินขบวน ชุมนุม ประท้วง โต้แย้ง หรือเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือ หรือให้ได้รับความเป็นธรรม อันเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ การกระทำนั้นไม่เป็นความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย

จากพยานหลักฐานตามทางนำสืบของโจทก์ ไม่มีพยานปากใดที่เข้ามาเบิกความยืนยันว่า มีจำเลยคนหนึ่งคนใดที่เป็นแกนนำกลุ่ม นปช. ได้ทำการปราศรัยหรือกระทำการอันเป็นการยุยงปลุกปั่นให้ผู้ร่วมชุมนุมกระทำการที่ได้ระบุไว้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 (1)(2)(3) แม้โจทก์จะมีพยานเบิกความต่อศาลว่า ระหว่างการชุมนุมของกลุ่ม นปช. มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นมากมายหลายแห่ง ตามข้อเท็จจริงที่โจทก์บรรยายในคำฟ้อง แต่พยานโจทก์ไม่ได้เบิกความยืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวเป็นการกระทำของบุคคลใดหรือเป็นการกระทำของฝ่ายใด ไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องของแหล่งข่าวว่าเป็นจริงหรือไม่ และยังมีพยานโจทก์อีกหลายปากเบิกความต่อศาลว่าการชุมนุมของ นปช.เป็นการใช้สิทธิเรียกร้องทางการเมืองให้นายอภิสิทธิ์ นายกฯ ประกาศยุบสภาแล้วจัดให้มีการเลือกตั้งกันใหม่ ซึ่งยังเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ระบบรัฐสภา โดยเหตุการณ์ความขัดแย้งความคิดทางการเมืองในประเทศไทยก็มีมาก่อน ตั้งแต่ปี 2548 ช่วงรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ที่มีการรวมกลุ่มของ พธม. ชุมนุมกดดันรัฐบาลยุบสภาลักษณะเช่นเดียวกัน จนมีการตั้งรัฐบาลยุคนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งต่อเนื่องจากมาจากพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน กระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงจนมีรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ กลุ่มจำเลย รวมตัวกันในนาม นปช.ชุมนุมเคลื่อนไหวกดดันให้ยุบสภา

  

ส่วนเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นระหว่างการชุมนุม โดยเฉพาะเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย.53 ก็ไม่มีพยานปากใดเบิกความยืนยันว่า เป็นการกระทำของกลุ่ม นปช. ส่วนที่จำเลยที่ 7, 24 การเดินทางไปที่รัฐสภาและสถานีดาวเทียมไทยคม ก็เป็นการเดินทางไปเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลมีคำสั่งให้ต่อสัญญาณสถานีโทรทัศน์ช่องพีเพิล ชาเเนล ที่รัฐบาลมีคำสั่งให้ปิดหรือตัดสัญญาณไปก่อนหน้านั้น ส่วนชายชุดดำก็ไม่ปรากฏว่าเป็นกองกำลังของฝ่ายใดและก็ไม่สามารถจับกุมบุคคลใดมาดำเนินคดีได้ในขณะนั้น ทั้งที่สถานที่ซึ่งปรากฏตัวชายชุดดำมีประชาชนอยู่ด้วยจำนวนมากจึงไม่น่าที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะจับกุมดำเนินคดีไม่ได้ทันท่วงที

ส่วนการที่แกนนำกลุ่ม นปช. ปราศรัยบนเวที ว่าหากทหารออกมาสลายการชุมนุม หรือทำรัฐประหาร ให้ประชาชนนำน้ำมันมาและให้มีการเผานั้นเป็นการกล่าวปราศรัยบนเวทีก่อนวันที่จะมีการชุมนุมใหญ่หลายวัน และไม่มีเหตุการณ์เผาทำลายทรัพย์สินตามที่มีการปราศรัยแต่อย่างใด โดยการวางเพลิงเผาทรัพย์เกิดขึ้นช่วงบ่ายวันที่ 19 พ.ค.53 ภายหลังจากแกนนำกลุ่ม นปช. ประกาศยุติการชุมนุมแล้ว ซึ่งคดีวางเพลิงเผาห้างเซ็นทรัลเวิล์ดนั้นศาลฎีกาได้วินิจฉัยในเรื่องการวางเพลิงเผาทรัพย์ไว้เป็นที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8132/2561 ว่าไม่ใช่เป็นการกระทำของกลุ่ม นปช.

โดย ศาล ยังเห็นอีกว่า การปราศรัยเรียกร้องให้ประชาชนทำการต่อต้านการทำรัฐประหารนั้นเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่สามารถกระทำได้ ไม่ถือเป็นความผิดต่อกฎหมายแต่อย่างใด ซึ่งการชุมนุมของกลุ่ม นปช. เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ นายกฯ ขณะนั้นประกาศยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ ก็เป็นการใช้สิทธิเรียกร้องทางการเมือง ซึ่งแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมประกาศแนวทางการต่อสู้มาโดยตลอดว่าเป็นการชุมนุมโดยสันติวิธี สงบและปราศจากอาวุธ และยังได้ปฏิเสธเข้ามาดำเนินการของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง กับพวกซึ่งมีแนวทางการต่อสู้คนละแนวกันตลอดมา การดำเนินการของ พล.ต.ขัตติยะ กับพวก จึงไม่ใช่เป็นการดำเนินกิจกรรมของกลุ่ม นปช. เพราะแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. ประกาศจุดยืนมาโดยตลอดว่าเป็นการชุมนุมโดยสันติวิธี สงบและปราศจากอาวุธ โดยการชุมนุมของกลุ่ม นปช. มีผู้เข้าร่วมชุมนุมจำนวนมาก จึงอาจมีบุคคลผู้ไม่หวังดีแฝงตัวเข้ามาเพื่อสร้างสถานการณ์ ให้เป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายก็เป็นได้

สำหรับกรณี นายยศวริศ จำเลยที่ 7 กับพวก ที่ถูกฟ้องว่าขัดขวางการลำเลียงกำลังพลของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารบริเวณสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้านั้น การยึดเอาอาวุธยุทโธปกรณ์ก็นำไปแสดงต่อสื่อมวลชนบริเวณเวทีปราศรัย ซึ่งอาจจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงการจะใช้อาวุธกับกลุ่มผู้ชุมนุมก็เท่านั้น โดยต่อมาเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็ได้รับเอาอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหลายเหล่านั้นกลับคืนไปหมดแล้ว การกระทำดังกล่าวจึงไม่ได้ประสงค์เอาทรัพย์นั้นเพื่อไปเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยไม่ชอบ จึงไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ ส่วนเหตุวางเพลิงเผาทรัพย์และทำลายทรัพย์สินของทางราชการ บริเวณสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้านั้นก็เกิดขึ้นภายหลังจากจำเลยที่ 7 นำเอาอาวุธยุทโธปกรณ์ไปแสดงต่อสื่อมวลชนแล้ว ทางนำสืบยังฟังไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 7 เดินทางกลับไปจุดนั้นอีก กรณีจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 7 ร่วมกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ด้วย

ศาล พิจารณาแล้ว เห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้รวม 5 สำนวน บรรยายฟ้องโดยรวมลักษณะการกระทำความผิดต่างๆ ให้ครบองค์ประกอบความผิดก่อการร้ายเท่านั้น แต่ไม่ได้เฉพาะเจาะจงพฤติการณ์จำเลยเป็นรายๆ ในการกระทำความผิดลักษณะต่างๆ มาด้วย ซึ่งหากช่วงวันเกิดเหตุการณ์ในแต่ละสถานที่นั้นถ้ามีการกระทำที่จะเป็นความผิดเกิดขึ้นก็ย่อมที่จะพิจารณาเป็นรายบุคคลไปตามพยานหลักฐาน   

ส่วนที่โจทก์ขอให้ลงโทษเฉพาะ นายอริสมันต์ จำเลยที่ 24 ในความผิดมาตรา 116 ,215,216 ฟังได้ว่าเป็นการกระทำต่อเนื่องเกี่ยวพันกันกับคดีที่พนักงานอัยการ ยื่นฟ้องจำเลยที่ 24 กับพวกต่อศาลจังหวัดพัทยา กรณีพาพวกไปขัดขวางการประชุมผู้นำอาเซียน และศาลจังหวัดพัทยามีคำพิพากษาแล้ว คำฟ้องของโจทก์ในส่วนนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4)

ส่วนความผิดตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ที่ห้ามชุมนุมกันตั้งแต่ 5 คนนั้น  แม้รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตพื้นที่ กทม. และปริมณฑล แล้วต่อมาศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ประกาศห้ามไม่ให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมในท้องที่ดังกล่าว การออกประกาศนั้นก็เพื่อควบคุมสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ซึ่งได้ร่วมชุมนุมต่อเนื่องติดต่อกันมาแล้วหลายวัน แต่ภายหลังจากที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงแล้วจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบก็ยังฟังไม่ได้ว่าแกนนำกลุ่ม นปช. ได้จัดการชุมนุมที่อื่นใดอีกนอกเหนือจากสถานที่ที่มีการชุมนุมอยู่ก่อนแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 1 - 15 และจำเลยที่ 18 - 24 จึงไม่เป็นความผิด พิพากษาให้ยกฟ้องทั้งหมด ทุกข้อกล่าวหา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้ตามฟ้องอัยการโจทก์ ระบุพฤติการณ์กล่าวหา 24 แกนนำ นปช. สรุปว่า เมื่อวันที่ 28 ก.พ. - 20 พ.ค.53 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งหมดกับพวก ร่วมกับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ซึ่งถึงแก่ความตาย โดยนายวีระกานต์ จำเลยที่ 1-ที่ 11 ซึ่งเป็นแกนนำ นปช. (กลุ่มคนใส่เสื้อสีแดงเป็นสัญลักษณ์) ได้ยุยงปลุกปั่นประชนทั่วราชอาณาจักรไทย ให้เข้าร่วมชุมนุมต่อต้านรัฐบาลและบังคับขู่เข็ญ นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ให้ประกาศยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ อ้างว่านายอภิสิทธิ์ มาเป็นนายกฯ โดยมิชอบ และให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญฯ ฉบับปี 2550 ซึ่งพวกจำเลยได้ร่วมกันจัดการชุมนุมจำนวนหลายหมื่นคนที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ , ฝั่ง ถ.ราชดำเนิน ตั้งแต่สี่แยกคอกวัว ถึงสี่แยกมิสกวัน , ฝั่ง ถ.พิษณุโลกจากสะพานชมัยมรุเชษฐ ถึงสี่แยกวังแดง และบริเวณแยกราชประสงค์ และยังมีการเดินขบวนไปปิดล้อมสถานที่ต่างๆด้วย ทั้งสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) , อาคารรัฐสภา , กรมทหารราบที่ 22 และบ้านพักของนายอภิสิทธิ์ นายกฯ (ย่านสุขุมวิท) โดยมีการใช้อาวุธเครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม 79 ยิงใส่บ้านพักประชาชนด้วย

นอกจากนี้จำเลยกับพวก ยังได้สะสมกำลังพลและอาวุธสงครามร้ายแรง มีการฝึกกำลังคนและฝึกการใช้อาวุธใช้ชื่อ กลุ่มนักรบพระเจ้าตาก , กลุ่มนักรบโรนิน , กลุ่มนักรบพระองค์ดำ เพื่อการก่อการร้าย สร้างความปั่นป่วนเพื่อให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน โดยใช้ยานพาหนะเคลื่อนกลุ่มผู้ชุมนุมไปตามถนนใน กทม. แบบดาวกระจาย เพื่อสร้างความปั่นป่วนให้เกิดความเสียหายแก่การคมนาคม ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เดือดร้อนเกรงกลัวอันตรายต่อชีวิต-ร่างกาย-ทรัพย์สิน และยังขัดขวางการใช้ชีวิตโดยปกติสุขของประชาชน ซึ่งพวกจำเลยและกลุ่มผู้ชุมนุม ยังได้ใช้เลือดจำนวนมากไปเทราดที่หน้าทำเนียบรัฐบาล , หน้าพรรคประชาธิปัตย์ และบ้านพักนายกรัฐมนตรี กับมีการใช้เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ยิงใส่กองรักษาการณ์ของกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ , กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งใช้เป็นสถานที่ประชุม ครม. กับยิงใส่กองบัญชาการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) มีทหารได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ใช้เครื่องยิงจรวดอาร์พีจี ยิงใส่กระทรวงกลาโหม , ขว้างระเบิดใส่กรมบังคับคดี และอาคารมูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ , ยิงปืนใส่ธนาคารกรุงเทพ ,  ขว้างระเบิดใส่ประตูทางเข้าทำเนียบรัฐบาลและสถานที่ราชการต่างๆ อันเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของรัฐและผู้อื่น เพื่อบีบบังคับกดดันรัฐบาลให้ทำตามข้อเรียกร้อง ซึ่งการกระทำของจำเลยกับพวกในการเดินขบวนชุมนุมประท้วงรัฐบาลดังกล่าวไม่เป็นการกระทำโดยใช้สิทธิเสรีภาพตามขอบเขตของรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการกีดกั้นกีดขวางการใช้เส้นทางคมนาคมส่งผลกระทบต่อธุรกิจ ที่สำคัญเกิดความเดือดร้อนเสียหายต่อการประกอบอาชีพและการดำรงชีวิตปกติสุขของประชาชน กระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จึงเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเกินขอบเขตรัฐธรรมนูญฯ ปี 2550 ม.34 , 36

ต่อมาเมื่อวันที่ 7 เม.ย.53 นายอภิสิทธิ์ นายกฯ ได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ.2548 ม.5 ,11 โดยความเห็นชอบของ ครม. ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่ กทม. , ปริมณฑล และจังหวัดอื่นๆ โดยห้ามไม่ให้ชุมนุมหรือมั่วสุมเกิน 5 คนขึ้นไป หรือกระทำการอันใดเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย หรือ กีดขวางการจราจร ปิดทางเข้าออกอาคารหรือสถานที่ ที่จะเป็นการขัดขวางการปฏิบัติงาน หรือประกอบกิจการหรือการใช้ชีวิตโดยปกติสุขของประชาชนทั่วไป , ห้ามประทุษร้ายหรือใช้กำลังทำให้ประชาชนเดือดร้อนเสียหายเกรงกลัวอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน

โดยจำเลยกับพวก รู้อยู่แล้วว่าการชุมนุมดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขัดต่อรัฐธรรม ซึ่งรัฐบาลสั่งให้ยุติการชุมนุมแล้ว แต่จำเลยกับพวกไม่ยุติ มีการนำกลุ่มผู้ชุมนุมบุกเข้าไปที่ทำการรัฐสภาทำร้ายร่างกายทหาร แย่งชิงอาวุธปืนเอ็ม 16 ไป 1 กระบอก , บุกรุกไปในสถานีดาวเทียมไทยคม 2 อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี กระทั่งวันที่ 10 เม.ย.53 จำเลยกับพวก และผู้ชุมนุมได้ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ปฏิบัติการกดดันผู้ชุมนุมเพื่อขอคืนพื้นที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ และแยกราชประสงค์ โดยมีการใช้กำลังประทุษร้ายและใช้อาวุธปืนสงคราม , ระเบิดขว้าง , เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ยิงใส่ทหารประชาชน เป็นเหตุให้ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวกรรม และประชาชนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก หลังจากนั้นมีการลอบวางระเบิดเสาไฟฟ้าแรงสูง ที่ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อต้องการให้ไฟฟ้าดับทั่ว กทม. อันเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะ

ต่อมาวันที่ 14 เม.ย.53 จำเลยกับพวก ยังได้ไปร่วมตัวชุมนุมที่แยกราชประสงค์ ปิดเส้นทางการจราจร , สร้างเครื่องกีดขวางรอบพื้นที่ชุมนุม โดยดัดแปลงใช้ไม้ไผ่ ไม้ปลายแหลม ยางรถยนต์ปิดกั้นเส้นทางบริเวณแยกศาลาแดง , แยกหลังสวน , แยกเพลินจิต , แยกชิดลม , แยกประตูน้ำ , แยกปทุมวัน , แยกเฉลิมเผ่า มีการยิงระเบิดใส่ธนาคารกรุงเทพฯ สาขาสีลม และสาขาอื่นๆ กับสถานที่ต่างๆ ไม่น้อยกว่า 50 แห่ง เพื่อสร้างความปั่นป่วนให้เกิดความหวาดกลัวแก่ประชาชนและระบบเศรษฐกิจ โดยวันที่ 28 เม.ย. จำเลยกับพวก ได้ยุยงให้ผู้ชุมนุมไปที่ตลาดไท และได้ใช้กำลังประทุษร้ายเจ้าหน้าที่ทหาร บริเวณหน้าอนุสรณ์สถาน และสนามบินดอนเมือง มีการใช้อาวุธยิงทหารเสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บ 2 คน และยังมีผู้อื่นบาดเจ็บอีก 16 คน นอกจากนี้ในต่างจังหวัดก็ได้ทำการปิดถนน ตั้งด่านตรวจพาหนะ , บังคับให้ขบวนรถไฟที่บรรทุกยุทธภัณฑ์ทางทหารไม่ให้เดินทางต่อ จากนั้นวันที่ 29 เม.ย.จำเลยกับพวกยังได้นำผู้ชุมนุม 200 คน ไปตรวจค้นโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ อ้างว่ามีทหารแอบซ่อนตัวอยู่ ทำให้แพทย์ พยาบาลไม่สามารถรักษาผู้ป่วยได้ ซึ่งนอกจากการกระทำของพวกจำเลยดังกล่าวเป็นการชุมนุมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้วยังก่อให้เกิดความวุ่นวาย นำไปสู่ความไม่สงบเรียบร้อยภายในประเทศ มีการใช้กำลังขัดขืนต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งมีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่มีเจตนาบิดเบือนให้เกิดการเข้าใจผิดเพื่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในพื้นที่ต่างๆทั่วราชอาณาจักร กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ

จนเมื่อวันที่ 19-20 พ.ค.53 รัฐบาลได้ดำเนินการกระชับพื้นที่และกดดัน ให้จำเลยกับพวกผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่และยุติการชุมนุม แต่จำเลยกับพวกมีการสะสมกำลังพลและมีอาวุธสงครามร้ายแรงต่อสู้ขัดขวาง ใช้ปืนยิงต่อสู้เจ้าพนักงาน และวางเพลิงเผาทรัพย์สินของรัฐ-เอกชน , เผาห้างสรรพสินค้าและอาคารพาณิชย์ต่างๆ ทั่วกรุงเทพ , เผาศาลากลาง-สถานที่ราชการต่างจังหวัดหลายแห่ง เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่และประชาชนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลก ซึ่งหลังเกิดเหตุ เจ้าพนักงานยึดอาวุธปืน กระสุน และวัตถุระเบิดซึ่งเป็นของจำเลยกับพวกได้หลายรายการ ชั้นสอบสวนจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลคำพิพากษาคดี แกนนำ นปช. ก่อการร้าย วันนี้ ยังคงเป็นเพียงคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในการตัดสินคดี ซึ่งตามขั้นตอนกฎหมายฝ่ายอัยการโจทก์ ยังสามารถพิจารณาว่าจะยื่นอุทธรณ์คดีต่อหรือไม่ หากยื่นอุทธรณ์ต้องดำเนินการภายใน 1 เดือนนับจากวันที่อ่านคำพิพากษา