หนึ่งปีหายนะเขื่อนเซเปียน-เซนำ้น้อยยังไร้ผู้รับผิดชอบ รายงานใหม่ภาคประชาสังคมระบุ

พบชาวบ้านในลาวเกือบ 5,000 คนยังคงเป็นผู้ไร้บ้านจากภัยพิบัติดังกล่าว
เขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย เป็นโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาด 410 เมกะวัตต์ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในลุ่มน้ำเซกงทางภาคใต้ของลาว โดยหนึ่งในเขื่อนย่อยได้แตกในวันที่ 23 กรกฎาคมปีที่แล้ว ทำให้น้ำทะลักไหลท่วมทางตอนล่าง เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 71 คน และน้ำท่วมบ้านเรือนหลายพันหลังรวมทั้งที่ทำกิน โดยน้ำท่วมไปไกลจนถึงตอนเหนือของกัมพูชา ทำลายพืชผลและทรัพย์สินในที่ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปกว่า 80 กิโลเมตร รายงานการประเมินความรับผิดชอบจากเหตุการณ์เขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อยแตก จัดทำโดยองค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) และพันธมิตรระบุ
ทั้งนี้ โครงการเป็นการร่วมทุน 4 บริษัท ได้แก่ SK Engineering and Construction จากประเทศเกาหลีใต้ บริษัท Korea Western Power บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และ Lao Holding State Enterprise ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลลาว
โดย บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด ยังทำหน้าที่ที่ปรึกษาการก่อสร้าง จึงถูกเรียกร้องในรายงานให้มีส่วนรับผิดชอบโดยตรงต่อการกำกับดูแลการดำเนินงานของบริษัท SK Engineering and Construction
รายงานระบุว่า จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีใครต้องรับผิดชอบต่อหายนะที่เกิดขึ้น ในขณะที่มีพยานหลักฐานมากขึ้นที่บ่งชี้ว่า บริษัทผู้พัฒนาและสร้างโครงการนี้น่าจะมีส่วนทำให้เขื่อนแตก ด้วยการพยายามลดต้นทุนเพื่อเพิ่มกำไรผ่านการปรับเปลี่ยนแบบ แม้ผลการสอบสวนอย่างเป็นอิสระตามคำสั่งของรัฐบาลลาวระบุว่า เขื่อนแตกเพราะ “เหตุสุดวิสัย”
จากการประเมินที่ได้ระบุในรายงาน พบว่า ชาวบ้านในลาวเกือบ 5,000 คนยังคงเป็นผู้ไร้บ้านจากภัยพิบัติดังกล่าว ต้องอาศัยในที่พักพิงชั่วคราว อยู่รอดด้วยอาหารที่ได้รับแจกมาเพียงน้อยนิดและเงินช่วยเหลือในแต่ละวัน
“ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่สามารถเดินทางกลับไปบ้านเกิดของตนเองได้ และมีอนาคตที่ไม่แน่นอนอย่างยิ่ง”รายงานระบุ
ในรายงานระบุว่าหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ ตั้งแต่รัฐบาลลาว ธนาคารไทย 4 แห่งที่ให้การสนับสนุนด้านเงินทุน รัฐบาลเกาหลีและไทยมีส่วนสนับสนุนให้เกิดโครงการมากน้อยแตกต่างกัน และต่างได้รับผลกำไรจากโครงการนี้ และควรต้องแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้
หนึ่งในข้อเสนอในรายงานคือการตั้งกองทุนและกำหนดกระบวนการเรียกร้องความเสียหายให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบโดยบริษัท โดยมีรัฐบาลที่เกี่ยวข้องให้การรับประกันการเข้าถึงสิทธิดังกล่าว
เปรมฤดี ดาวเรือง ผู้ก่อตั้ง Laos Dam Investment Monitor กล่าวว่าดูเหมือนประเด็นจะไม่ได้อยู่ในการควบคุมของรัฐบาลอีกต่อไปแล้ว แต่อยู่ภายใต้อำนาจทุน และเป็นเหตุว่าทำไมรัฐบาลลาวจึงดูเหมือนปกป้องบริษัทมากกว่า และปฏิเสธที่จะเผยแพร่รายงานการตรวจสอบหลังเหตุการณ์
เธอกล่าวว่าภูมิภาคกำลังอยู่ในยุคของการสร้างเขื่อนอย่างเต็มที่ แต่เธอก็เชื่อว่าผลกระทบที่จะได้รับจะไม่จำกัดอยู่แต่เพียงชาวบ้านในประเทศอื่น หากแต่เป็นผู้บริโภคไฟฟ้าที่อยู่ในประเทศไทยในที่สุด
ภาพ ปกรายงาน/ เครดิต: IR







