รอดูท่าที Fed ในคืนนี้

รอดูท่าที Fed ในคืนนี้

มีโอกาสที่ดัชนีจะลงไปทดสอบ Low เดิมของเดือนที่ระดับ 1,715 จุด

ลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ลดลง 9.55 จุด (-0.55%) ปิดที่ระดับ 1,721 จุด มูลค่าการซื้อขาย 65,335 ล้านบาท ดัชนีปรับตัวลงในทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลว่าเฟดอาจจะชะลอลดอัตราดอกเบี้ย หุ้นกลุ่มน้ำมันและปิโตรฯปรับตัวลงกดดันตลาดกังวลงบ 2Q19 ชะลอตัว นำโดย IVL, IRPC และ PTTGC อย่างไรก็ตาม Fund Flow ต่างชาติพลิกเป็นบวก โดยซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 1,865 ล้านบาท และ Net Long TFEX 3,680 สัญญา แต่ยังขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 4,625 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ : คงมุมมองเป็นกลางถึงลบ และมีโอกาสที่ดัชนีจะลงไปทดสอบ Low เดิมของเดือนที่ระดับ 1,715 จุด โดยมีแรงกดดันจากการขายปรับพอร์ตของกลุ่มนักลงทุนสถาบันซึ่งมองว่า Valuation ของ SET Index ค่อนข้างแพงและตึงตัว ขณะที่ผลประกอบการ 2Q19 ของบริษัทจดทะเบียนยังไม่ดี ส่วนนักลงทุนต่างชาติแม้วานนี้จะกลับมาซื้อสุทธิแต่ Indicator ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงการไหลเข้าของ Fund Flow ยังเป็นลบ อาทิ US dollars ยังแข็งค่า และ Bond yield 10 ปี ของสหรัฐยังทยอยเพิ่มขึ้น ปัจจัยนี้อาจจะทำให้แรงซื้อของต่างชาติขาดความต่อเนื่อง ประกอบกับนักลงทุนจะเลือกชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจนต่อท่าทีของเฟดซึ่งคืนนี้นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดจะขึ้นกล่าวแถลงนโยบายรอบครึ่งปีต่อสภาฯ

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy เน้นหุ้นงบ 2Q19 ดีเป็นหลัก

  • กลุ่มที่คาดว่างบ 2Q19 จะเติบโตขึ้น (PTTEP, EA, BGRIM, GPSC, CKP ,CPF, GFPT, TFG, CPALL, MTC, THANI, VGI, PLANB, MINT, VNT, WORK, MAJOR, JMT, PRM)
  • หุ้นปันผลครึ่งปีเด่น (INTUCH, ADVANC, KKP, TCAP, LH, QH)

หุ้นแนะนำวันนี้: VGI (ปิด 9.3 ซื้อ/เป้า 11) Top pick กลุ่มสื่อโฆษณานอกบ้าน ได้ Sentiment บวก BTS เร่งเจรจากทม.ต่อสัญญาสัมปทานเดินรถสายสีเขียวส่งผลบวกโดยตรงต่อ VGI ซึ่งผูกขาดสัมปทานโฆษณาในระบบเดินรถของ BTS อยู่แล้ว ด้านผลประกอบการปีนี้คาดมีกำไรสุทธิ 1,693 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 54%yoy, KKP (ปิด 71.5 ซื้อ/เป้า IAA Consensus 79 บาท) ราคาหุ้นยัง Laggard เมื่อเทียบกับ TISCO ( 2 เดือนที่ผ่านมา KKP +5% แต่ TISCO+12%) ทั้งที่ให้ Dividend yield ใกล้เคียงกันที่ 6-7%ต่อปี ประกอบกับตัวถ่วงของ KKP ใน 1Q19 คือธุรกิจหลักทรัพย์ แต่ปัจจุบันมูลค่าการซื้อขายปรับตัวขึ้นแล้วจึงไม่น่ากังวล อีกทั้งยังมีรายได้จากงาน IB ขนาดใหญ่หลายรายการ ทำให้แนวโน้มกำไรน่าจะ Bottom ไปแล้ว

KSS report วันนี้: SCC (ปิด 460 ถือ/เป้าใหม่ 460 เดิม 440 )

ประเด็นสำคัญวันนี้:          

  • (-) QE : การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของสหรัฐในช่วงวันที่ 18-19 มิ.ย.ที่ผ่านมายังไม่มีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงหรือไม่ และจะนำมาตรการ QE กลับมาใช้เมื่อใด ดังนั้นการขึ้นแถลงนโยบายรอบครึ่งปีต่อสภาผู้แทนฯในวันที่ 10 ก.ค.19 และวุฒิสภาฯในวันที่ 11 ก.ค.19 จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่นักลงทุนเฝ้าจับตามองเพราะเชื่อว่านายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดจะใช้เวทีนี้ในการส่งสัญญาณถึงการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยก็ได้ซึ่งจะมีผลต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกโดยเฉพาะหากส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยเชื่อว่า Momentum ของ Fund Flow ไหลเข้าจะกลับมาเป็นบวกได้อีกครั้ง
  • (+/) คสช.ประกาศยกเลิกคำสั่ง คสช.ทั้งหมด สะท้อนภาพการเมืองไทยใกล้เข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยเต็มรูปแบบคาดหวังดึงความเชื่อมั่นต่างชาติกลับคืน: วานนี้พลเอก ประยุทธ์ จันโอชา นายกรัฐมนตรี ออกประกาศคำสั่ง คสช.เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อยกเลิกคำสั่งของ คสช.ที่เคยประกาศใช้ทั้งหมด (เหลือไว้บางคำสั่งที่จะทยอยหมดอายุไปเอง) นั่นหมายความว่านับต่อจากนี้รัฐบาลจะไม่สามารถใช้มาตรา 44 เพื่อแก้ปัญหาได้แล้ว โครงการหรือคดีความที่ยังไม่ตัดสินเป็นที่สิ้นสุดในรัฐบาลชุดเก่าจะต้องโอนไปให้รัฐบาลใหม่เป็นผู้ดำเนินการอาทิ โครงการต่ออายุสัญญาสัมปทานทางด่วน BEM นอกจากนี้การยกเลิกคำสั่ง คสช.ยังเป็นการบ่งชี้ว่าเราใกล้จะได้เห็นหน้าตาของรัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างเต็มรูปแบบซึ่งคาดว่าจะช่วยดึงความเชื่อมั่นโดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติกลับคืนมาได้
  • (+) WTI : ราคาน้ำมันดิบ WTI เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบแคบแม้ตลาดจะได้แรงหนุนจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางหลังอิหร่านประกาศเดินหน้าโครงการผลิตแร่ยูเรเนียม ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงด้านนิวเคลียร์ของโลก แต่ตลาดยังมีแรงกดดันจากดีมานด์ที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามเช้าวันนี้ราคาน้ำมันดิบฟิวเจอร์เพิ่มขึ้นมาแล้วกว่า 86 เซนต์ คาดหวังสหรัฐจะรายงานสต๊อกน้ำมันดิบลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 3 อีก 2.1 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับสถาบันปิโตรเลียมของอเมริกาที่รายงานตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบของสหรัฐลดลงถึง 8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมา ปัจจัยนี้น่าจะช่วยพยุงไม่ให้หุ้นในกลุ่มธุรกิจน้ำมัน โรงกลั่นและปิโตรฯลดลงอีกหลังจากที่ลดลงแรงและเป็นกลุ่มกดดันตลาดในช่วงที่ผ่านมา