บวกต่ออีกนิด

บวกต่ออีกนิด

SET Index วานนี้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง หลังเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยตามคาด และส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้

นอกจากนี้ ตลาดปรับตัวขึ้นหนุนโดยกลุ่มพลังงานหลังจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นแรง ขณะที่หุ้นกลุ่ม Big cap. ที่หนุนตลาด ได้แก่ PTT PTTEP AOT และ CPALL ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดที่ 1,717.82 จุด (+11.84 จุด) Volume 7.5 หมื่นลบ. จาก Foreign +4,480.05 ลบ. TFEX Net +4,188 สัญญา ตลาดตราสารหนี้ +4,923 ลบ.

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย

+ดาวโจนส์ปิดบวก 249.17 จุด +0.94% ได้แรงหนุนจาก FOMCส่งสัญญาณ อาจปรับลดอัตราดบ.ในเดือนก.ค.และหุ้นกลุ่มปิโตรเลียมขยับขึ้นขานรับราคาน้ำมันบวกแรง

+ราคาน้ำมัน WTI เพิ่มขึ้น $2.89 ดอลลาร์ +5.4% ปิด $56.65 ต่อบาร์เรล จากความตึงเครียดสหรัฐ-อิหร่าน หลังโดรนสหรัฐถูกขีปนาวุธของอิหร่านโจมตี

+สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอสวัสดิการว่างงานลดลง 6,000 รายมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 220,000 ราย

+โกลด์แมนแซคส์คาด FED ลดอัตราดบ. 2 ครั้งก่อนสิ้นปีนี้ และหากภาวะศก.ทรุดตัวลง FED อาจจะปรับลดอัตราดบ. 0.50% ในการประชุมเดือนก.ค.

+FedWatch บ่งชี้ว่านลท.มองมีโอกาส 100% ที่เฟดจะลดดบ.ในเดือนก.ค.

+BOE มีมติเอกฉันท์ 9-0 เสียงให้คงอัตราดบ.นโยบายที่ระดับ 0.75% ตามคาดแต่ปรับลดตัวเลขคาดการณ์ GDP ในช่วง Q2 เหลือ 0%QoQ จากเดิม 0.2% จากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจาก Brexit โดยไม่มีการทำข้อตกลง

-เฟดฟิลาเดลเฟียเผยดัชนีภาวะธุรกิจมิด-แอตแลนติกในมิ.ย.ต่ำสุดรอบ 4 เดือน

-ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยเดือน พ.ค.62 ว่า อยู่ที่ระดับ 47.4 ต่ำสุดในรอบ 15 เดือนจากความกังวลการจัดตั้งรัฐบาลและยังมีปัญหาความยากจน

+Fund Flow ต่างชาติมีสถานะซื้อ YTD 2.12 หมื่นลบ. ค่าเงินบาท 30.85 บาท/US

*จับตาอียู-สหรัฐเปิดเผยดัชนี PMI ภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นเดือนมิ.ย.

คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในทิศทางขาขึ้นจากคาดการณ์ FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า ราคาน้ำมันที่ปิดพุ่งแรงส่งผลบวกเชิงจิตวิทยาต่อหุ้นกลุ่มน้ำมัน และมีปัจจัยกดดันจาก SET ปรับขึ้นแรงหลายวันและใกล้วันหยุดสุดสัปดาห์ทำให้นักลงทุนอาจขายทำกำไรบางส่วน คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,708-1,737 จุด

กลยุทธ์การลงทุน

       หุ้นเข้าคำนวณดัชนี FTSE ที่น่าสนใจ : OSP, NER, PR9 มีผล 21 มิ.ย. TFFIF, EGATIF, COM7 จะเข้าคำนวณดัชนี FTSE SET Mid Cap Index มีผล 24 มิ.ย.

       หุ้น Defensive : กลุ่มค้าปลีก (CPALL MAKRO) กลุ่มท่องเที่ยว (AOT, ERW, SPA) กลุ่มโรงพยาบาล (BCH)

       หุ้นน่าลงทุน Theme EEC play : AMATA, WHA, WHAUP, WHART, EASTW, ATP30, ORI

       หุ้นเข้าใหม่ SET50 : SAWAD, OSP หุ้นเข้าใหม่ SET100 : JAS, JMT, OSP  SETHD : BEAUTY, INTUCH, JMT, KCE มีผล 2H62

หุ้นรายงานพิเศษ

ค่าเงินบาทวานนี้ (20 มิ.ย.) ปิดตลาดที่ 30.94 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าที่สุดในรอบ 6 ปีนับตั้งแต่ 13 มิ.ย. 56 ที่ระดับ 30.68 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากเปิดตลาดที่ 31.11 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ การที่ค่าเงินบาทแข็งส่งผลกระทบต่อธุรกิจแตกต่างกันตามโครงสร้างรายได้และต้นทุน ดังนี้

1)  ธุรกิจที่ได้ประโยชน์ (Positive) : เน้นทำธุรกิจในปท. นำเข้าวัตถุดิบและมีหนี้สินเป็น $ เนื่องจากจะมีต้นทุนลดลงเมื่อคิดเป็นเงินบาทในการชำระค่าซื้อวัตถุดิบหรือชำระหนี้ ได้แก่ ธุรกิจเกษตร ธุรกิจเหล็ก ธุรกิจท่องเที่ยวขาออก แนะนำ TASCO TOA PTTEP TOP EGCO

2)  ธุรกิจที่เสียประโยชน์ (Negative) : ผู้ประกอบการส่งออกที่มีรายได้เป็น $ ในสัดส่วนสูงแต่มีต้นทุนส่วนใหญ่เป็นเงินบาทเนื่องจากส่วนต่างจากการดำเนินธุรกิจในรูปของเงินบาทลดลง ได้แก่ ธุรกิจส่งออกสินค้าอาหารและเกษตรแปรรูป ธุรกิจท่องเที่ยวขาเข้าที่พึ่งพิงลูกค้าตปท.เป็นส่วนใหญ่

3)  ธุรกิจที่ไม่ได้รับผลกระทบ (Neutral) : ธุรกิจที่เน้นตลาดในประเทศที่เรียกว่า Non-Tradable Sector ไม่มีธุรกรรมที่เป็นเงินตราตปท. ไม่มีโครงสร้างรายได้/ต้นทุนที่อิง $ หรือมีโครงสร้างรายได้/ต้นทุนในรูป $ แต่ได้ใช้เครื่องมือการเงินในการประกันความเสี่ยงไว้แล้วได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจของบรรษัทข้ามชาติ (MNCs) ที่เข้ามาลงทุนโดยตรงในปลายประเทศในภูมิภาคซึ่งมีการนำเข้าวัตถุดิบหรือสินค้าชั้นกลางเข้ามาประกอบในไทยแล้วส่งออกไปขายยังตลาดตปท.ตามห่วงโซ่อุปทาน

หุ้นมีข่าว   

·         ประเด็นลบกลุ่มส่งออก : ค่าเงินบาทวานนี้ (20 มิ.ย.) เคลื่อน ไหวแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปิดตลาดที่ 30.94 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากเปิดตลาดที่ 31.11 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าที่สุดในรอบ 6 ปี นับตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย. 56 ที่อยู่ในระดับ 30.68 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

·         ประเด็นลบกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม  : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเปิดเผยจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในเดือนพ.ค.62 มีจำนวน 2.7 ล้านคน -1.03%YoY รายได้จากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 1.34 แสนล้านบาท
-0.95%  ในช่วง 5M62 มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 16.7 ล้านคนYoY +1.6% รายได้จากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 8.7 แสนล้านบาท +0.8%YoY

·         กสทช. เปิดให้ทีวีดิจิทัลขอคืนแบงก์การันตีวันแรก มี 14 ช่องตบเท้ามายื่น ยอดเงินรวม 9,381 ล้านบาท ขณะนี้คืนให้แล้วรวม 3 ช่องของ GRAMMY-RS ส่วนอีก 11 ช่องอยู่ระหว่างดำเนินการคืนแบงก์การันตี (ที่มา ข่าวหุ้น)

·         BTS (ราคาปิด 12.20 บาท Bloomberg Consensus 12.68 บาท) กทม.” เปิดโต๊ะคุย BTS สัปดาห์หน้า ลุยเจรจางานเดินรถสายสีเขียวหลัก-ส่วนต่อขยาย ก่อนปรับแก้สัมปทานตามคำสั่งม.44 คาดได้เซ็นสัญญาต้นก.ย.นี้ เผยเงื่อนไขกดเพดานค่าโดยสารไม่เกิน 65 บาท ยอมรับกระทบรายได้ลด ต้องขอดูข้อแลกเปลี่ยนก่อน ย้ำปีนี้ผู้โดยสารโต 4-5% (ที่มา ข่าวหุ้น)

·         SPALI (ราคาปิด 22.90 บาท Bloomberg Consensus 24.34 บาท)  เตรียมเปิดตัวโครงการ “ศุภาลัย เบลล่า ชยางกูร-ขามใหญ่” มูลค่ากว่า 700 ล้านบาท ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านรุ่นใหม่ และทาวน์โฮม ทำเลชยางกูร-ขามใหญ่ จังหวัดอุบลราชธานี เปิดจองวันที่ 29-30 มิถุนายน นี้ ณ สำนักงานขาย ราคาพิเศษ 1.39 ล้านบาท พร้อมพบสิทธิพิเศษมากมาย (ที่มา ข่าวหุ้น)

·         PTTEP (ราคาปิด 135.00 บาท Bloomberg Consensus 148.76 บาท)  ปรับเพิ่มเม็ดเงินลงทุน 5 ปี จากเดิม 1.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมขยับเป้ายอดขายปิโตรเลียมปีนี้ใหม่เฉลี่ย 3.4 แสนบาร์เรลต่อวัน ล่าสุดออกหุ้นกู้ 1.5 หมื่นล้านบาท อายุ 3 ปี โชว์ยอดจองซื้อสูงถึง 3 เท่า (ที่มา ข่าวหุ้น)

·         EPG (ราคาปิด 6.15 บาท Bloomberg Consensus 7.52 บาท)  รับเทรดวอร์คลายกังวล หนุนธุรกิจสดใส แถมยิ้มรับน้ำมันขาลงช่วยลดต้นทุน ปักหมุดงวดปีนี้รายได้โต 12% รับพอร์ตลูกค้าขยายตัว หนุนดีมานด์พุ่ง แถมเดินหน้าเจาะตลาดกลาง-ล่าง หวังดันกำลังผลิต EPP ขึ้นสู่ 60-70% จากเดิมที่ราว 50% (ที่มา ทันหุ้น)

·         AAV (ราคาปิด 4.16 บาท Bloomberg Consensus 4.68 บาท)  เร่งเกมขยายฐานลูกค้าใหม่ เจาะกลุ่มอินเดีย - CLMV พร้อมขยาย 6 เส้นทางบินใหม่กระทุ้งยอดใช้บริการครึ่งปีหลังพุ่ง (ที่มา ทันหุ้น)

·         PJW พร้อมเทิร์นอะราวด์เต็มตัว หลังโกยกำไรในไตรมาสแรกได้แล้ว 35.63 ล้านบาท เร่งคุมค่าใช้จ่าย ลดต้นทุน อัพมาร์จิ้น ผู้บริหารเผยออเดอร์จีนไหลเข้าอื้อ คาดรับทรัพย์ปีนี้ราว 300-400 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายยอดขายทั้งปีมองโต 8-10% จากปีก่อน (ที่มา ทันหุ้น)

·         CHG (ราคาปิด 2.20 บาท Bloomberg Consensus 2.42 บาท)  ยิ้มรับเข้าไฮซีซันธุรกิจเฮลธ์แคร์ หนุนภาพรวมการเติบโตครึ่งหลังปีดีกว่าครึ่งปีแรก จากปัจจัยฤดูฝนมาเร็วแพร่โรคระบาด ชู 2 โรงพยาบาลใหม่ เพิ่มขีดความสามารถรองรับคนไข้เพิ่ม เคาะรายได้ปี 2562 เติบโตไม่น้อยกว่า 15% พร้อมแจงกรณีขายหุ้นมองไม่มีนัยสำคัญ (ที่มา ทันหุ้น)

·         SKE โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล แม่กระทิง ก.ค. 2562 เตรียมรับทรัพย์ปีนี้ 130-140 ล้านบาท มองรัฐบาลลอยตัวก๊าซ NGV กระทบกับบริษัทเล็กน้อย แต่มั่นใจพื้นฐานแกร่ง คาดยอดการอัดก๊าซเฉลี่ยปีนี้จะอยู่ที่ 550 ตันต่อวัน ดันรายได้ตามเป้าโต 50% จากปีก่อน (ที่มา ทันหุ้น)

 

สรุปรายชื่อหุ้นที่ปลด SP ชั่วคราวให้ซื้อขาย 1 เดือนระหว่าง 1 – 31 ก.ค. 2562 โดยตั้งซื้อขายด้วย Cash Balance ได้แก่ A5ม, BLISS, BUI, CHUO, EARTH, GSTEL, IFEC, KC, KTECH, NBC, NMG, POLAR, PRO, STHAI, TSF และ WR สำหรับ GSTEL ให้เข้าสู่ช่วงดำเนินการให้มีคุณสมบัติเพื่อกลับมาซื้อขายภายใน 31 พ.ค.63 หากไม่สามารถดำเนินการได้จะพิจารณาเพิกถอนหลักทรัพย์ต่อไป 

IEC, LVT, YNP ตลาดหลักทรัพย์ประกาศเพิกถอนหุ้นออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนเนื่องจากไม่สามารถดำเนินการแก้ไขเหตุเพิกถอนได้  จึงเปิดให้ทำการซื้อขาย 7 วันทำการระหว่าง 1-9 ก.ค. 2562 และเพิกถอนตั้งแ 10 ก.ค. 2562 เป็นต้นไป