‘เอ็นทีที’ยึดไทยฮับลุยอินโดจีน

นายมานาบุ คาฮาระ ประธาน บริษัท เอ็นทีที คอมมิวนิเคชั่นส์ คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) หรือ เอ็นทีที คอม ผู้ให้บริการไอทีโซลูชั่นและดาต้าเซ็นเตอร์ ในเครือ เอ็นทีที กรุ๊ป ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า แนวทางธุรกิจของเอ็นทีทีคอมปีนี้มุ่งเพิ่มคู่ค้า สร้างอีโคซิสเต็มส์ทางธุรกิจ พร้อมนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาสู่ตลาดทั้งปัญญาประดิษฐ์(เอไอ) รวมถึงระบบหุ่นยนต์อัตโนมัติสำหรับธุรกิจองค์กร(อาร์พีเอ)

โดยผลิตภัณฑ์หลักประกอบด้วยบริการดาต้าเซ็นเตอร์ และคลาวด์ทุกรูปแบบ บริษัทวางไทยเป็นฮับเพื่อทำตลาดในภูมิภาคอินโดจีน เชื่อว่าสามารถเป็นศูนย์กลางที่รองรับข้อมูลได้จากทุกที่ ปัจจบัน เอ็นทีทีคอมมีดาต้าเซ็นเตอร์ 2 แห่งในกรุงเทพมหานคร สามารถให้บริการได้ทั้งไทย เมียนมา กัมพูชา และลาว รวมปัจจุบันมีลูกค้ามากกว่า 1,000 ราย

อย่างไรก็ดี ตลาดไทยยังเป็นเพียงช่วงเริ่มต้นของการใช้งานคลาวด์ ดังนั้นยังมีโอกาสรออยู่อีกมาก กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เช่นธุรกิจบันเทิง นอกจากธุรกิจต่างชาติที่มาลงทุนในไทย โอกาสยังมาจากธุรกิจไทยที่ออกไปขยายตลาดระดับภูมิภาคด้วย

นายมาซาโตชิ ซิโบอิ รองประธานผู้จัดการสายงานด้านผลิตภัณฑ์และบริการ แผนกพัฒนาธุรกิจและที่ปรึกษาทางการขาย เอ็นทีที คอม เผยว่า เอ็นทีทีมีแผนทำงานกับพันธมิตรอย่างเป็นรูปธรรม ไม่นานมานี้ได้จัดตั้งอินโนเวชั่นแลป เพื่อให้ลูกค้าเข้ามาทดลองและพัฒนาโครงการต้นแบบ(พีโอซี) บนนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ลูกค้าให้ความสนใจมีทั้งเอไอ ไอโอที บล็อกเชน

ล่าสุด เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อขยายขีดความสามารถในการเชื่อมต่อบนคลาวด์ “เอสดี-เอ็กซ์เชนจ์ เซอร์วิส (SD-Exchange Service)” ซึ่งเป็นบริการที่ร่วมมือกับเมกะพอร์ต(Megaport) เพื่อเชื่อมระบบการทำงานแบบไฮบริดคลาวด์ ช่วยให้ลูกค้าสามารถเชื่อมต่อไปยังผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำได้โดยตรง

บริษัทเชื่อว่า การเติบโตของแอพพลิเคชั่นบนพื้นฐานคลาวด์และโซลูชั่นระบบไฮบริดคลาวด์ขององค์กรธุรกิจในไทยจะช่วยเพิ่มความต้องการการใช้งานบริการดังกล่าว ขณะเดียวกันตอบโจทย์โลกธุรกิจที่กำลังทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล โดยเฉพาะสถาบันการเงิน ภาคอุตสาหกรรม เพื่อผลักดันการเติบโตของรายได้ คำนึงถึงความปลอดภัย ประหยัดค่าใช้จ่าย สำคัญยืดหยุ่นตามการใช้งาน

“บริการนี้ได้ผสานเทคโนโลยีที่ดีที่สุดของเอ็นทีทีคอมเข้าด้วยกัน มีจุดแข็งจากการบริการ มีการเชื่อมต่อไปถึงผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำจากทั่วโลกกว่า 102 แห่ง ใน 57 ภูมิภาคจากทั่วโลก”

ผลสำรวจระบุว่า ในระดับโลกองค์กรที่ใช้งานไพรเวทคลาวด์อย่างเดียวมีอยู่ราว 5% พลับบลิกคลาวด์ 22% ไฮบริดคลาวด์ 67%