'เอดีบี'มั่นใจศก.ไทยปีนี้ขยายตัวมากกว่า 3.5% แน่นอน

'เอดีบี'มั่นใจศก.ไทยปีนี้ขยายตัวมากกว่า 3.5% แน่นอน

"ธนาคารพัฒนาเอเชีย" เตรียมปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยใหม่ ธ.ค.นี้ คาดทั้งปีขยายตัวมากกว่า 3.5% แน่นอน

นางลัษมณ อรรถาพิช เศรษฐกรอาวุโส ประจำประเทศไทย ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) เปิดเผยว่า เอดีบีเตรียมจะปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยใหม่ในเดือนธันวาคมนี้ จากเดิมที่ประมาณการว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 3.5% และ 3.6% ในปี 2560 และ ปี 2561 ตามลำดับ ซึ่งเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโตมากกว่า 3.5% อย่างแน่นอน จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ขยายตัวดีต่อเนื่องทั้งการส่งออกไตรมาส 3 และการลงทุนของภาครัฐ ที่แม้ว่าในปีนี้จะลุ่มๆ ดอนๆ แต่ไตรมาสที่ผ่านมาเริ่มดีขึ้น และเชื่อว่าไตรมาส 4 จะดีขึ้นด้วย จึงเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้โตได้มากกว่า 3.5% อย่างแน่นอน

"เชื่อว่าการส่งออกน่าจะทำได้ดีต่อเนื่องถึงปีหน้า จากปัจจัยเศรษฐกิจคู่ค้าอย่างจีนที่เอดีบีมองว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 6% ในช่วง 2 ปีนี้ เศรษฐกิจของสหภาพยุโรป (อียู) และสหรัฐฯ มองว่ายังขยายตัวดี ส่งผลให้ประเทศอื่นๆ ที่เป็นคู่ค้าขยายตัวได้ดีเช่นกัน อย่างตัวเลขส่งออกมาเลเซียก็ขยายตัวดี จากอานิสงส์การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก ทำให้กลุ่มประเทศอาเซียนฟื้นตัวกันถ้วนหน้า อย่างไรก็ตามในส่วนเศรษฐกิจในประเทศ การลงทุนภาคเอกชนในปีนี้อาจจะยังไม่ขยายตัวตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ แต่เชื่อว่าปีหน้าจะขยายตัวจากการส่งออกที่ขยายตัวต่อเนื่องและการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่จะมาช่วยดึงขึ้น ส่วนการบริโภคภายในประเทศ และรายได้ภาคการเกษตรก็คาดว่าจะดีขึ้น จากหนี้ภาคครัวเรือนที่โตแบบชะลอตัว" นางลัษมณกล่าว

ส่วนปัจจัยภายนอกประเทศจะเห็นว่าความกังวลเรื่องนโยบายสหรัฐฯ และเรื่องคาบสมทุรเกาหลีในช่วงปลายปีที่แล้วต่อเนื่องถึงต้นปีนี้ ความเสี่ยงก็ค่อยๆ ลดลง สำหรับปัจจัยความกังวลในปี 2561 การลงทุนภาครัฐจะต้องเร่งดำเนินการ รวมถึงการดำเนินโยบายอีอีซี โดยเฉพาะการออกกฎหมายก็ต้องเร่งด้วย เนื่องจากได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติเป็นจำนวนมาก ส่วนการใช้เครื่องมือนโยบายการเงิน อาจจะต้องติดตามว่าในถานการณ์โลกที่เงินเฟ้อต่ำจะเป็นอย่างไร อัตราแลกเปลี่ยนจะเป็นอย่างไร

ทั้งนี้มองว่า ในปีหน้าอาจจะยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ เศรษฐกิจก็ยังขยายตัวต่อเนื่อง ยกเว้นว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลกซึ่งอาจจะต้องรอดูอีกครั้ง แม้ว่าอาจจะมีแรงกดดันการขึ้นดอกเบี้ยจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกและการดำเนินนโยบายของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คนใหม่