Today in Sport...วันกำเนิด "หัตถ์พระเจ้า"

Today in Sport...วันกำเนิด "หัตถ์พระเจ้า"

วันนี้เมื่อ 31 ปีก่อน ดีเอโก้ มาราโดน่า ทำคนเดียว 2 ประตู พา อาร์เจนติน่า เฉือน อังกฤษ 2-1 ในศึกฟุตบอลโลก 1986 ซึ่งหนึ่งในนั้นคือประตู "หัตถ์พระเจ้า" ที่ลือลั่นไปทั่วโลก

       22 มิถุนายน 1986 ศึกฟุตบอลโลกที่ประเทศเม็กซิโก เดินทางมาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย "ฟ้า-ขาว" อาร์เจนติน่า พบกับ "สิงโตคำราม" อังกฤษ

       ประตูแรกและเป็นประตูปัญหาของเกมนี้เกิดขึ้นในนาทีที่ 51 ในจังหวะทำเกมบุกของอาร์เจนติน่า สตีฟ ฮ็อดจ์ มิดฟิลด์ของอังกฤษเคลียร์บอลพลาด บอลโด่งมาหน้าปากประตูตัวเอง จังหวะนั้น ปีเตอร์ ชิลตัน นายทวารสิงโตคำรามทำท่าว่าจะรับบอลไว้ไม่ยาก แต่ ดีเอโก้ มาราโดน่า ก็กระโดดขึ้นพร้อมใช้มือปัดบอลเข้าประตูไป แม้ ชิลตัน จะพยายามประท้วงแต่ผู้ตัดสิน อาลี บิน นาสเซอร์ จากตูนิเซีย ยังยืนยันให้เป็นประตู

       อีก 4 นาทีถัดมา "เสือเตี้ย" แผลงฤทธิ์อีกรอบ เมื่อได้บอลตั้งแต่กลางสนาม ก่อนกระชากกว่า 60 หลา หลบผู้เล่นอังกฤษ 6 คน เข้าไปยิงประตูที่ 2 อย่างสวยงาม ซึ่งประตูนี้ถูกโหวตให้เป็น "ลูกยิงแห่งศตวรรษ" ของ ฟีฟ่า อีกด้วย

       นาทีที่ 81 อังกฤษมาได้ประตูตีไข่แตก จาก แกรี่ ลินิเกอร์ แต่ก็ไม่มีความหมาย จบเกม อาร์เจนติน่า ชนะไป 2-1 พร้อมกับกรุยทางเข้าไปคว้าแชมป์โลกในเวลาต่อมาได้สำเร็จ

       ภายหลัง มาราโดน่า ได้พูดถึงการทำประตูแรกว่า "ส่วนหนึ่งมาจากหัวของมาราโดน่า อีกส่วนหนึ่งมาจากหัตถ์ของพระเจ้า" จากนั้นลูกยิงดังกล่าวก็ถูกเรียกว่า "หัตถ์พระเจ้า" นับแต่นั้นเป็นต้นมา

       ส่วนประตูสุดสวยลูกที่สองนั้น มาราโดน่าบอกว่า "ตอนแรกผมตั้งใจจะส่งบอลให้ฮอร์เก้ (วัลดาโน่) แต่พวกอังกฤษล้อมหน้าล้อมหลังอยู่เต็มไปหมด ผมเลยคิดว่า 'งั้นลุยเองเลยละกัน' จริงๆแล้วผมคิดว่าถ้าเป็นการแข่งกับทีมอื่น ผมคงยิงลูกนั้นไม่ได้หรอกเพราะคงโดนตัดฟาล์วตั้งแต่กลางสนามแล้ว แต่พวกเขา(อังกฤษ)นั่นแหละที่เป็นสุภาพบุรุษเกินไป!"

       จากชัยชนะนัดนี้แม้จะเป็นแค่เกมหนึ่งในวงการฟุตบอล แต่ก็ถือเป็นชัยชนะที่มีความหมายอย่างยิ่งต่อชาวอาร์เจนติน่า เนื่องจากพวกเขามีความขัดแย้งกับอังกฤษเมื่อคราวสงครามหมู่เกาะฟอล์คแลนด์ในปี 1982 ที่ทำให้ชาวอาร์เจนติน่ากว่า 600 คนต้องจบชีวิตลง ซึ่ง มาราโดน่า กล่าวว่า "จริงอยู่ที่ฟุตบอลไม่เกี่ยวข้องกับสงครามใดๆ...แต่สงครามคราวนั้นทำให้เด็กๆที่อาร์เจนติน่าต้องตายเป็นเบือเหมือนนกตัวเล็กๆ และเกมนี้แหละคือการแก้แค้น" ส่วน โรแบร์โต้ เปอร์ฟูโม่ อดีตนักเตะทีมชาติอาร์เจนติน่าช่วงทศวรรษที่ 70 ก็เคยให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องราวในฟุตบอลโลก 1986 ว่า "การคว้าชัยชนะเหนืออังกฤษนั่นแหละคือสิ่งที่สุดยอดที่สุดแล้ว (สำหรับชาวอาร์เจนติน่า) ส่วนเรื่องที่ได้แชมป์โลกในเวลาต่อมา เป็นแค่เรื่องที่สำคัญรองลงมาเท่านั้น"

รู้ไว้ใช่ว่า
       ในเกมกับอังกฤษ อาร์เจนติน่าสวมชุดเยือน (เสื้อสีน้ำเงิน) แต่จะเห็นได้ว่าสีเสื้อนั้นต่างกับชุดเยือนที่ใช้ลงแข่งกับอุรุกวัยในรอบก่อนหน้านั้น สาเหตุที่มีการเปลี่ยนเสื้อกลางทัวร์นาเม้นท์ก็เนื่องมาจากหลังจบเกมกับอุรุกวัย คาร์ลอส บิลาร์โด้ กุนซือ "ฟ้า-ขาว" มองว่าชุดดังกล่าวไม่มีการระบายอากาศที่ดีพอ ไม่เหมาะกับอากาศร้อนสุดๆของกรุงเม็กซิโก ซิตี้ บิลาร์โด้จึงร้องขอให้ทีมงานเปลี่ยนชุดให้ใหม่ แต่ทีมงานก็ไม่สามารถจัดหาได้ตามคำขอเพราะระยะเวลากระชั้นมาก

       สามวันก่อนแข่งกับอังกฤษ บิลาร์โด้ สั่งให้ รูเบน มอสเชลล่า หนึ่งในทีมสต๊าฟฟ์โค้ช ไปหาชุดแข่งใหม่ตามร้านขายอุปกรณ์กีฬาแถวๆนั้น ซึ่ง มอสเชลล่า ก็ซื้อกลับมา 2 ตัว (สีน้ำเงินเหมือนกันแต่คนละโทน) ให้เลือก และเป็น มาราโดน่า นี่แหละที่เลือกชุดนี้ขึ้นมาโดยบอกว่า "เสื้อตัวนี้สวยดีนะ เราชนะพวกอังกฤษได้แน่ในชุดนี้" จากนั้น มอสเชลล่า ก็รีบกลับไปร้านขายเสื้อตัวนั้นอีกครั้งเพื่อเหมาซื้อมา 38 ตัวให้ครบทีม, หาโลโก้สมาคมฟุตบอลอาร์เจนติน่ามาเย็บติดเสื้อทีละตัว รวมถึงซื้อหมายเลขเสื้อของชุดแข่งอเมริกันฟุตบอลเอามารีดติดเสื้อแข่งใหม่เพราะไม่มีเวลานั่งเย็บให้อีก

       เป็นสต๊าฟฟ์โค้ชที่ทำได้ทุกอย่างจริงๆ

       (คลิป Youtube // user: Kazmarazin)