มาตรฐานบัญชีใหม่ ท้าทาย'บจ.'ยุคดิจิทัล

มาตรฐานบัญชีใหม่   ท้าทาย'บจ.'ยุคดิจิทัล

การรายงานของผู้สอบบัญชีแบบใหม่ ที่จะมีผลบังคับใช้ในเดือน ธ.ค.นี้ กับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เริ่มใช้ในรายงานงบการเงินปี2559

โดยเฉพาะในเรื่องสำคัญจากการสอบบัญชี(Key Audit Matters) นั้นนายชาญชัย ชัยประสิทธิ์ หุ้นส่วนสายงานตรวจสอบบัญชี บริษัท PWC ประเทศไทย ระบุว่าผู้สอบบัญชีต้องตรวจสอบและรายงานมากขึ้น เช่น การออกหุ้นที่ราคาต่ำกว่าราคาทางบัญชี รวมถึงหุ้นเก่าด้วยไม่ใช่เฉพาะหุ้นใหม่ จะเห็นได้ว่ามีขายหุ้นบิ๊กล็อตใหญ่ ให้กับนักลงทุนรายใหญ่ หรือหุ้นสำหรับผู้มีอุปการะคุณ ที่มีราคาหุ้นวันที่ปิดตลาดที่10บาทแต่พบว่าราคาหุ้นเปิดขาย7บาท หรือกิจการIPO ที่มีครอบครัวถือหุ้นแล้วต้องการกระจายหุ้น และเป็นกิจการที่มีมูลค่าแต่กลับราคาเปิดขายต่ำกว่าราคาตลาด ส่วนวิธีการควบรวมกิจการ ผู้สอบบัญชี คงต้องพิจารณาเป็นรายกรณี ซึ่งควรให้เป็นไปตามเจตนาของเจ้าของกิจการ เพราะจริงๆแล้วการซื้อกิจการทำยาก ส่วนใหญ่90%พบว่าเป็นการซื้อกิจการ ทั้งๆที่เจตนาเป็นการซื้อสินทรัพย์ก็ตาม

ขณะเดียวกันบริษัทไทยยังมีความท้าทายจากมาตรฐานการรายงานทางการเงินไทย (TFRS) ฉบับใหม่ มี2 ฉบับ คือ TFRS 15 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ 1 ม.ค.62 และ TFRS 16 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ 1ม.ค.63โดย TFRS15 นั้นมีการเปลี่ยนแปลงหลักการรับรู้รายได้ หรือจำนวนเงินรายได้ที่รับรู้ในแต่ละช่วงเวลาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม  ซึ่งนอกจากจะกระทบต่อตัวเลขทางการเงินแล้ว ยังคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อขั้นตอน วิธีการปฏิบัติงาน รวมทั้งการพิจารณาข้อมูลที่ควรจัดเก็บอีกด้วย

สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ ได้แก่ ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ค้าส่ง ค้าปลีก ยานยนต์ รับจ้างผลิตสินค้า ต่อเรือ และ โทรคมนาคม เป็นต้น 

ส่วน TFRS 16 นั้น คาดว่า จะกระทบต่อกิจการที่เป็นผู้เช่าตามสัญญาเช่าดำเนินงานเกือบทุกกิจการ เพราะภายใต้หลักการใหม่ กิจการผู้เช่าจะต้องรับรู้สิทธิในการใช้สินทรัพย์ หนี้สินตามสัญญาเช่าที่เข้ามาในงบดุล การตัดจำหน่ายสิทธิในการใช้สินทรัพย์ และรับรู้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจากหนี้สินตามสัญญาเช่าด้วยวิธีอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ซึ่งข้อกำหนดดังกล่าว จะมีผลกระทบต่ออัตราส่วนทางการเงิน และการจัดประเภทรายการในงบการเงินของกิจการผู้เช่า ทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสูงขึ้นกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ และค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) สูงขึ้น กระแสเงินสดจากกิจกรรมการดำเนินงานสูงขึ้น และกระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงินลดลง แม้ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจก็ตาม

“บริษัทเหล่านี้ต้องเตรียมตัวให้พร้อมโดยประเมินผลกระทบ และปรับเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติงานและการจัดเก็บข้อมูล ให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เพราะอาจทำให้เกิดผลกระทบในทางลบแก่กิจการได้”

นอกจากนี้ การเปลี่ยนมาตรฐานการบัญชีชุดเล็กในส่วนของกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ (TFRS for NPAEs) เป็นมาตรฐานการรายงานทางการเงินสำหรับเอสเอ็มอี ยังอาจส่งผลกระทบต่อกิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ 

“กิจการที่ไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะทุกกิจการน่าจะได้รับผลกระทบจากมาตรฐานฉบับดังกล่าว จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่ว่าเป็นกิจการที่ซับซ้อนหรือไม่ โดยกิจการที่ไม่ซับซ้อน เช่น กิจการที่ไม่ใช่บริษัทขนาดใหญ่ บริษัทย่อย บริษัทร่วม และ บริษัทร่วมค้า จะได้รับการยกเว้นการบังคับใช้ในบางเรื่อง เช่น การด้อยค่าของสินทรัพย์ รายการที่มีเนื้อหาของสัญญาเช่า และ ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี เป็นต้น”

นอกจากนี้ ในเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง (Data analytics)ที่จะเข้ามามีบทบาทในการทำบัญชีมากขึ้นผู้สอบบัญชี จะต้องสามารถใช้ประโยชน์จากการจัดการข้อมูลจำนวนมาก ผ่านระบบวิเคราะห์เชิงทำนาย(Predictive analytics )เพื่อให้นักบัญชีเห็นภาพรวมจากการประมวลข้อมูลเชิงลึกของบริษัทประกอบรายงานทางการเงินได้ดีขึ้น และยังช่วยป้องกันการประพฤติมิชอบหรือเหตุฉ้อโกงทางบัญชีต่างๆ รวมทั้งคาดการณ์หรือตั้งเป้าหมายการเติบโตทางธุรกิจได้ดีขึ้น อีกทั้งผู้สอบบัญชี ยังสามารใช้ภาพเพื่อแสดงข้อมูล (Data visualisation)จะช่วยลูกค้าและผู้บริหารตัดสินใจเรื่องต่างๆที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น

    อย่างไรก็ตามกรณีของเบร็กซิท  และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจ หรือการดำเนินงานของบริษัทย่อย หรือสาขาในประเทศดังกล่าว รวมไปถึงผลกระทบทางอ้อมจากบริษัทคู่ค้าที่อาจได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน นอกจากนี้ อัตราแลกเปลี่ยนอาจมีความผันผวนในระยะสั้น ดังนั้น บริษัทที่มีเงินลงทุนในตลาดเงิน และ ตลาดทุน หรือผู้ประกอบการค้าสกุลเงินตราต่างประเทศ อาจต้องพิจารณาการด้อยค่าของเงินลงทุน หรือรับรู้ส่วนต่างจากอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้น

“ในระยะสั้นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอาจยังไม่ชัดเจนแต่ ในระยะกลางถึงระยะยาว เรามองว่า มีความเป็นไปได้สูงที่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จะส่งผลกระทบต่อหลายอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการอาจต้องกลับมาทบทวนแผนธุรกิจในด้านต่างๆ รวมทั้งการขยายตลาด การรักษาฐานลูกค้าที่มีอยู่และขอบเขตทางภูมิศาสตร์ รวมทั้งเตรียมความพร้อมของบุคลากร แม้ไทยอาจจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ภาคธุรกิจต้องติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดเช่นกัน เพราะบางนโยบายที่มีการคาดการณ์ว่าจะถูกนำมาใช้ อาจกระทบต่อการประกอบธุรกิจในตลาดเดิม หรือการลงทุนในตลาดใหม่ รวมไปถึงกำแพงภาษีหรือข้อตกลงทางการค้าต่างๆ ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้” นาย ชาญชัย กล่าว