“เฮลซ์บลูบอย” ผู้นำความหวานข้ามทศวรรษ

“เฮลซ์บลูบอย” ผู้นำความหวานข้ามทศวรรษ

น้ำแข็งใสราดน้ำหวานสีเขียว-แดง คือของอร่อยในความทรงจำ ที่ทำให้ใครหลายคนนึกถึง “เฮลซ์บลูบอย” น้ำหวานอันดับ 1 ซึ่งครองใจคนไทยมานานถึง 57 ปี

น้ำหวานเข้มข้นในขวดแก้ว มีรูปเด็กหนุ่มสวมหมวกเป็นสัญลักษณ์ กับภาษาอังกฤษ Hale's Blue Boy คือภาพจำสุดคุ้นชินที่คนไทยมีต่อแบรนด์ “เฮลซ์บลูบอย” ซึ่งผูกพันกันมานานถึง 57 ปี (ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2502)

แม้จะอยู่ในสนามมานานหลายทศวรรษ และไม่มีใครปฏิเสธความเป็น “เบอร์หนึ่ง” ของพวกเขา แต่เรื่องราวของ เฮลซ์บลูบอย กลับเป็นที่รู้จักตามหน้าข่าวน้อยมาก กลายเป็นแบรนด์ “โลว์โพรไฟล์” ที่เติบโตด้วยตัวเองอย่างเงียบๆ

“เราเป็นองค์กรที่ ‘Conservative’ (อนุรักษนิยม) มากๆ”

คำยืนยันจาก “ประยุทธ พัฒนะเอนก” ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายต่างประเทศ บริษัท เฮลซ์เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ทายาทรุ่น 2 เฮลซ์บลูบอย ซึ่งเปิดเผยเรื่องราวของพวกเขาเป็นครั้งแรก หลังมาเป็นวิทยากรงานสัมมนา “บุกตลาดแดนมังกรใน 365 วัน กับศูนย์สร้างโอกาสธุรกิจไทยสู่จีน” จัดโดย ศูนย์สร้างโอกาสธุรกิจไทยสู่จีน (TSTC) ที่ผ่านมา

วันนั้นเองที่เราได้รู้จักกับ “เฮลซ์บลูบอย” มากขึ้นว่า พวกเขาเป็นธุรกิจครอบครัวคนจีน ที่เริ่มต้นโดย 4 พี่น้อง ตระกูล “พัฒนะเอนก”  เริ่มจากทำร้านโชห่วย ก่อนเห็นโอกาสในธุรกิจนี้ เลยผันตัวเองมาเป็นผู้ผลิตน้ำหวาน จนเกิดเป็นแบรนด์ “เฮลซ์บลูบอย” ขึ้นเมื่อปี 2502 และมีการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพมาเรื่อยๆ จนปัจจุบันน้ำหวานเฮลซ์บลูบอย มีอยู่ 9 รสชาติ นอกจากน้ำหวานเข้มข้น เฮลซ์บลูบอย ยังมีสินค้าที่เป็นน้ำตาลก้อนอีกด้วย

“เราเป็นแบรนด์แรกไหม..ไม่ทราบ แต่ที่ผมทราบคือ เราเป็นแบรนด์ที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จตั้งแต่แรก”

ประยุทธ บอกเล่าความสำเร็จที่คนรุ่นหนึ่งสร้างไว้ให้ โดยสามารถบุกเบิกจนแบรนด์ติดตลาด ชนิดที่คนมีภาพจำไปแล้วว่า ถ้านึกถึงน้ำหวานเข้มข้น ก็ต้องนึกถึง เฮลซ์บลูบอย แม้ที่ผ่านมาจะมีคู่แข่งหลายราย ทั้งแบรนด์ระดับบนซึ่งเป็นกลุ่มสินค้านำเข้า แบรนด์ระดับกลางคู่แข่งโดยตรงของพวกเขา และแบรนด์ระดับล่าง ที่คอยแชร์ส่วนแบ่งอยู่เต็มตลาด แต่เฮลซ์บลูบอยก็ยังคงรักษาฐานที่มั่นของตัวเองไว้ได้ ไม่มีใครสามารถล้มพวกเขา

“สิ่งที่ทำให้เราอยู่ในตลาดได้นานถึง 57 ปี มองว่า เพราะเราเป็นสินค้าที่ไม่ยอมในเรื่องของคุณภาพ คุณภาพต้องมาเป็นอันดับ 1 และเรามีการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะตัวสินค้าหรือแพคเก็จจิ้ง ซึ่งสังเกตได้ว่า เราใช้ขวดแก้วมาตลอด เพราะสามารถรักษาคุณภาพสินค้าน้ำหวานได้ดีกว่าอย่างอื่น”

ความเจ๋งของแบรนด์เก่าแก่ คือการที่สามารถรักษาคุณภาพไว้ได้ไม่มีตก แม้ในช่วงที่น้ำตาลความหวานผิดเพี้ยน หรือสีสันแปลกไป ก็ต้องปรับต้องแก้ไข เพื่อให้คงคุณภาพเดิมของ เฮลซ์บลูบอย ไว้ให้ได้

อีกความเจ๋งที่คนรุ่นสองยกนิ้วให้คือ การสร้างแบรนด์ “เฮลซ์บลูบอย” มาตั้งแต่ต้น ทำให้ไม่ว่าที่ผ่านมาจะเคยเปลี่ยนชื่อบริษัท แต่คนก็จดจำในแบรนด์เฮลซ์บลูบอยไปแล้ว แถมฟอนต์ Hale's” ที่คนเห็นจนคุ้นตา ก็มีมาตั้งแต่ก่อนมีคอมพิวเตอร์ด้วยซ้ำ โดยใช้การแกะบล็อกไม้เป็นตัวอักษร เลยได้ฟอนต์ที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่มีใครเลียนแบบได้

อีกความน่าสนใจของ เฮลซ์บลูบอย คือมีกลุ่มลูกค้า ตั้งแต่ “A-D” เรียกว่า รากหญ้าไปจนไฮโซ ก็ต้องกินของพวกเขา แม้จะมีสินค้าเพียงตัวเดียวคือ “น้ำหวาน” แต่แอพพลิเคชั่นการใช้งานกลับ “มหาศาล” ที่สำคัญไม่ต้องสอนลูกค้า เพราะลูกค้าพร้อมครีเอทเมนูด้วยตัวเองอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเครื่องดื่ม ขนมไทย เบเกอรี่ ฯลฯ สารพัดที่จะสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้น

“เคยเจอขนมปังยี่ห้อหนึ่ง เอาน้ำหวานเราไปทำเป็นไส้ครีม คนกินก็รู้เลยว่านี่ เฮลซ์บลูบอย ทุกคนเวลาจะขายของ เขาต้องคิดเมนูแปลกๆ ให้ต่างจากคนอื่นอยู่แล้ว เลยเอาของเราไปเป็นส่วนผสม ฉะนั้นตลาดเขาใช้ของเขาเอง จึงสามารถขายไปได้เรื่อยๆ” เขาบอกอานิสงห์ที่เกิดขึ้น

วันนี้ความแข็งแกร่งของ เฮลซ์บลูบอย ที่คนรุ่นหนึ่งสร้างไว้ให้ ถูกส่งไม้ต่อสู่ทายาทรุ่นสอง ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 4 ชีวิต เท่ากับจำนวนคนรุ่นก่อตั้ง “เป๊ะ!” โดยมี “ประยุทธ” เข้ามาดูแลด้านตลาดต่างประเทศ ตั้งแต่ 2 ปีก่อน เราเลยได้เห็นความหวานจากประเทศไทย ส่งออกไปในหลายประเทศทั่วโลก เริ่มจาก อเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ โดยเจาะเข้าไปที่ย่านคนเอเชียเป็นหลัก จากนั้นขยายมายัง อาเซียน และจีน

โดยนำเสนอความเป็นน้ำหวานอันดับหนึ่งในประเทศไทย (No.1 Syrup in Thailand)  และชูเครื่องหมาย Thailand Trust Mark ประกาศความเชื่อมั่นให้กับตลาดโลก

ปัจจุบัน เฮลซ์บลูบอย อยู่ระหว่างการบุกตลาดจีน โดยเป็นหนึ่งใน 200 ผู้ประกอบการไทย ที่อยู่ในศูนย์สร้างโอกาสธุรกิจไทยสู่จีน(TSTC) ณ เมืองโฝซาน มณฑลกวางตุ้ง ภายในโครงการ “คาค่า”(KAKA) อสังหาริมทรัพย์ของนักลงทุนชาวไทย “นิพนธ์ ธรรมพัฒนาภรณ์” ประธานบริษัท ซิโฟน่า กรุ๊ป จำกัด ที่มีมูลค่าโครงการสูงถึง 600 ล้านหยวน

ส่วนเป้าหมายปีต่อไปคือการบุกตลาดอินเดีย เพื่อกระจายความหวานสายพันธุ์ไทย ให้อยู่ในทุกพื้นที่บนโลก

“เป้าหมายส่วนตัว ผมอยากเห็นธุรกิจครอบครัว สามารถขยับขยายไปได้เรื่อยๆ อยากให้สินค้าของเราขายไปได้ทั่วโลก บริการความต้องการของคนไทยที่อยู่ทั่วทุกมุมโลก ถ้าที่ไหนยังหาสินค้าเราไม่ได้ ผมจะไม่ยอม จะทำให้มีให้ได้”

วันนี้ธุรกิจเดินทางมา 57 ปีแล้ว ทว่ายังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมายนักในธุรกิจของพวกเขา โดยยังเป็นองค์กรคอนเซอร์เวทีฟ ที่เติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่หวือหวา ไม่กู้หนี้ยืมสินมาสร้างการเติบโต ไม่ใช้เงินผิดประเภท ใช้แค่ในธุรกิจเท่านั้น  ไม่แตกไลน์ไปทำสิ่งที่ไม่ถนัด ไม่เดินห่างจากความหวาน และยังไม่คิดเข้าตลาดหลักทรัพย์

“เราไม่ได้ต้องการที่จะโตมากมาย เป็นสไตล์คนจีน ที่โตแบบ Step by step ไม่ใช่แบบ MBA เมืองนอก ผมว่า ชีวิตคนเราก็เหมือนธุรกิจนั่นแหล่ะ ถ้าคุณโตขึ้นมาได้เรื่อยๆ คุณแฮปปี้นะ ดูอย่างวิกฤติเศรษฐกิจ คุณจะเห็นหลายๆ บริษัท ที่เขาต้องการโตเร็วๆ ไปกู้หนี้ยืมสินมา แต่พอเจอวิกฤติ ล้มละลาย เจ๊งไปเยอะมาก ซึ่งเราไม่ต้องการเป็นแบบนั้น” เขาบอก

สิ่งที่ธุรกิจครอบครัวสไตล์คนจีนทิ้งไว้ให้ คือ ปรัชญาการทำธุรกิจ ที่ต้อง ซื่อสัตย์ ยุติธรรม และมีคุณธรรม

“ธุรกิจต้อง ซื่อสัตย์ ยุติธรรม และมีคุณธรรม โดยคุณต้องซื่อสัตย์ต่อลูกค้า ถึงจะอยู่ได้ ต้องยุติธรรม และมีคุณธรรม ถึงจะไปรอด ก็เหมือนกับสไตล์คนจีนทำธุรกิจนั่นแหล่ะ เพียงแต่ต้องยึดมั่นและทำจริง” เขาสรุป

เพื่อรักษาสถานะผู้นำความหวานของคนไทย และชื่อเสียง เฮลซ์บลูบอย” ให้คงอยู่ไป..ชั่วลูกชั่วหลาน

 “”””””””””””””””””””””””

Key to success

สูตรรักษาความหวานฉบับ “เฮลซ์บลูบอย”

๐ คุณภาพต้องเป็นที่หนึ่ง

๐ สร้างแบรนด์ตั้งแต่ต้น เพื่อสร้างการจดจำได้

๐ ทำธุรกิจที่เชี่ยวชาญ ไม่แตกไลน์ไปทำอย่างอื่น

๐ ขยายตลาดไปในประเทศที่ยังมีโอกาส

๐ โตแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่หวือหวา

๐ ยึดหลัก ซื่อสัตย์ ยุติธรรม และมีคุณธรรม