เจน 3 ‘เทพผดุงพร’พาชาวเกาะ สู่..กูรูมะพร้าวโลก

เจน 3 ‘เทพผดุงพร’พาชาวเกาะ สู่..กูรูมะพร้าวโลก

รุ่น 3’เทพผดุงพรมะพร้าว’ เอกศักดิ์ ,นันทินี และชวพร เทพผดุงพร เคลื่อนทัพธุรกิจ’กะทิชาวเกาะ’ ไปไกลกว่ายอดขายสู่แบรนด์ ‘ผู้เชี่ยวชาญมะพร้าว'

เป็นความกดดันเล็กๆ สำหรับ “ทายาทรุ่นที่ 3” ของธุรกิจครอบครัว "เทพผดุงพรมะพร้าว" ที่เริ่มก้าวเข้ามาสานต่อความสำเร็จทางธุรกิจที่ “ทายาทรุ่น 2” ทำไว้

 ทว่า ประสบการณ์ธุรกิจกะทิสำเร็จรูป ที่ส่งผ่าน “จากรุ่นสู่รุ่น” มากว่า 50 ปีของการก่อตั้งบริษัท ทำให้ทายาทรุ่น 3  มั่นใจว่า จะสานต่อธุรกิจของตระกูลต่อไปได้ โดยปัจจุบัน ทายาทรุ่น 3 ของเทพผดุงพรมะพร้าว เริ่มเข้ามาช่วยงานในบริษัทได้ระยะหนึ่ง  

โดย เอกศักดิ์ เทพผดุงพร ลูกชายของ ดร.กรณัฎฐ์ เทพผดุงพร กรรมการบริหาร และผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน  เข้าทำงานสายการผลิต ในตำแนห่ง “ผู้จัดการทั่วไป” รับหน้าที่ดูแลตลาดในประเทศ 

ขณะที่ นันทินี เทพผดุงพร ลูกสาวของ อภิศักดิ์ เทพผดุงพร กรรมการผู้จัดการ และผู้อำนวยการฝ่ายขายต่างประเทศ เข้ามารับผิดชอบงานฝ่ายขายและตลาดส่งออก ช่วยผู้พ่อ ดูแลตลาดส่งออกกว่า 27 ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา แคนาดา โอเชียเนีย และหมู่เกาะต่างๆ ตลาดจีน ญี่ปุ่น และยุโรป "ตลาดส่งออกถือเป็นตลาดใหญ่สำคัญสำหรับธุรกิจครอบครัวเพราะรายได้กว่า 80% มาจากส่งออก "ฝน" เล่า 

ส่วน ชวพร เทพผดุงพร  ลูกชายของเกียรติศักดิ์ เทพผดุงพร กรรมการบริหาร และผู้จัดการโรงงานชาวเกาะ เข้ามารับผิดชอบงานด้านการผลิต ของโรงงานที่ปัจจุบันมีกำลังการผลิตกะทิวันละ 2 แสนลิตร น้ำมะพร้าว 20 ตัน

เอกศักดิ์ ผู้อาวุโสที่สุดในรุ่นเจน 3 เริ่มเท้าความถึงธุรกิจที่ส่งผ่านกันมาจากรุ่นปู่ รุ่นพ่อ โดยต้องยอมรับว่า รุ่น 1 และ 2 พาองค์กร “เทพดุงพรมะพร้าว” เจ้าของแบรนด์กะทิชาวเกาะเดินมาไกลจากก้าวแรก ที่เริ่มต้นตั้งร้านค้าเล็กๆ ย่านสี่แยกมหานาค และท่าเตียน ขณะที่ปัจจุบันกะทิชาวเกาะ เป็นผู้นำด้านกะทิเบอร์ 1 ของโลก 

ด้วยยอดขายกว่า  4,800 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งตลาด 30-40% ของตลาดตลาดกะทิโลกที่มีมูลค่า 7,500 ล้านบาท

ที่ผ่านมากะทิชาวเกาะ ยังพัฒนาสินค้ามากถึง 200 ชนิด แบ่งเป็น 3 ประเภทสินค้า ประกอบด้วย 

ผลิตภัณฑ์กลุ่มกะทิสำเร็จรูป แบรนด์ "ชาวเกาะ” ซึ่งยังคงทำรายได้กว่า 70% โดยที่ผ่านมาได้เพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคนี้ อาทิ กะทิถุงพาสเจอรไรส์ ,วุ้นมะพร้าว,และน้ำมันมะพร้าวนบริสุทธ์ 100% และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้ามาให้ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคมากขึ้น

ผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหารไทย แบรนด์ “แม่พลอย” มีสัดส่วนรายได้กว่า 29% ประกอบด้วย พริกแกงสำเร็จรูป ,ซอสน้ำจิ้ม,น้ำส้มสายชูกลั่น,แกงบรรจุกระป๋องสำเร็จรูป 

และผลิตภัณฑ์ผัก-ผลไม้บรรจุกระป๋อง ภายใต้แบรนด์ “ยอดดอย” โดยปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้เพียง 1 % ของรายได้รวม  เรียกได้ว่า

เจน 2 ปูทางไว้ดี ทั้งผลิตภัณฑ์ และสายการผลิต ไว้อย่างครบครัน 

เอกศักดิ์ ระบุว่า หน้าที่ของทายาทรุ่น 3  คือการ “ต่อยอด” สร้างมูลค่าเพิ่มจากผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ “เสริมทัพ” สร้างโอกาสธุรกิจใหม่ๆในอนาคต เริ่มต้นด้วยการสร้างแบรนด์ให้เข้มแข็ง สร้างความจงรักภักดี (Brand Awareness) ตลาดในและต่างประเทศ ขึ้นแท่นการรับรู้แบรนด์ระดับโลก (Global) ว่า.. 

แบรนด์ไทย “ชาวเกาะ” คือแบรนด์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะพร้าว ตัวจริง !

ส่วนด้านการผลิต ก็ต้อง “พร้อมรบ” โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ได้ลงทุนกว่า 200 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตในโรงงาน จากงบรวมทั้งปีราว 400 ล้านบาท ที่รวมการลงทุนด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในต่างประเทศ

ด้าน “ชวพร” กล่าวเสริมว่า เขาเป็นเหมือนทีมหลังบ้าน ที่นอกจากจะดูแลด้านการผลิตแล้วเพื่อตอบโจทย์มุ่งสู่ “โกลบอลแบรนด์” แล้ว 

สินค้ายังต้องมีคำว่า “รับผิดชอบต่อสังคม” เข้ามาเกี่ยวข้อง 

“คู่ค้าจากประเทศปลายทาง เดินทางมาตรวจมาตรฐานการผลิต สุขอนามัย โดยเฉพาะล่าสุดด้านแรงงานค้ามนุษย์ ที่ไทยกำลังถูกจับตาอย่างหนักในกลุ่มธุรกิจอาหารแปรรูป นั่นทำให้พวกเขาต้องลงทุนหลังบ้านให้ได้มาตรฐานของประเทศคู่ค้า”

ขณะที่เอกศักดิ์ พี่ใหญ่ผู้คุมตลาดในประเทศ เล็งไปที่การกระจายสินค้าให้แข็งแกร่ง ทั้งในตลาดดั้งเดิม (Traditional Market) และร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) เพื่อให้ครอบคลุมการจัดจำหน่ายในทุกช่องทาง

ทว่า สิ่งเหล่านี้ยังไม่เพียงพอ หากต้องการปั้นแบรนด์ให้ยั่งยืนเข้าถึงผู้บริโภคปลายทาง (End User) เอกศักดิ์ บอกว่าต้องคิดกลยุทธ์เข้าถึงพวกเขามากกว่านี้ โดยไม่จบแค่การจำหน่ายสินค้าผ่าน “ตัวแทนจำหน่าย”

“เมื่อคนจงรักภักดีต่อแบรนด์ มีความชื่นชมแบรนด์แล้ว ไม่ว่าชาวเกาะจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือบริการใหม่ๆ ก็จะมีกลุ่มลูกค้าให้การสนับสนุน" เขาเผยวิธีคิด และว่า

ต้องการปั้นบุคลิกแบรนด์ชาวเกาะ ให้ดูสนุกสนานและทันสมัยมากขึ้น ด้วยการปรับโลโก้ และแพ็คเกจใหม่ให้ดูเป็น “อินเตอร์” มากขึ้น     

โดยจะต้องปรับภาพลักษณ์แบรนด์ “คู่ขนาน” ระหว่างคงไว้ความคลาสสิคกับตลาดลูกค้าเดิม และใส่ความทันสมัยในกลุ่มลูกค้าใหม่ ในผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย 

เขาเสริมว่า แม้จะมีการพัฒนาสิ่งต่างๆ ให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคได้กว้างขวางขึ้น แต่สิ่งที่จะบอกกับลูกค้าให้รับรู้ คือ ความเป็นเนื้อแท้ ของ “กูรูมะพร้าว” ผู้เชี่ยวชาญมะพร้าว 

หัวใจที่ต้องรักษาคำมั่นกับผู้บริโภค ที่เปลี่ยนไม่ได้ !

ขณะที่พวกเขาทั้ง 3 แม้จะเป็นลูกพี่ลูกน้อง แต่มาต่างครังครัว ทว่ามีเป้าหมายร่วมเข้ามาทำงานในชายคา "เทพผดุงพรมะพร้าว” ด้วยความท้าทายและหวังลึกๆว่า จะเป็นเจเนอเรชั่น 3 ที่เคลื่อนทัพองค์กรที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นไปอีก

นั่นเพราะทุกคนถูกหล่อหลอมมาด้วยสภาพแวดล้อมไม่ต่างกัน เห็นคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ทำงานตั้งแต่เช้ายันค่ำ บวกบรรยากาศการทำงานของครอบครัว ที่มีมีการสื่อสารและพูดคุยกันตลอด เป็นพลังและแรงบันดาลใจในการทำงาน

พวกเขาจึงไม่อาจจะหนีจากรากเหง้า “กองมะพร้าวเดิม” ที่เคยเกิด วิ่งเล่น และเติบโตกันมา..

 +++++++++++++++++++++

เดินเกมสปอนเซอร์ชิฟ  ดันตลาดส่งออก    

นันทินี เทพผดุงพร อีกทายาทรุ่น 3 เล่าถึงภารกิจดูแลตลาดส่งออกว่า ในสหรัฐอเมริกา สามารถยึดหัวหาดได้แล้ว เมื่อส่งสินค้าเข้าปักธงในห้างสรรพสินค้าคอสท์โก้ (Costco) และ วอลมาร์ท(Walmart) ได้สำเร็จ ทำให้เชื่อว่า การยอมรับในความเป็นโกลบอลแบรนด์กำลงจะตามมา

ส่วนในสหภาพยุโรป ยังมีการบ้านหนัก เนื่องจากคู่แข่งเข้าไปปูพรมจำหน่ายก่อนในหลายประเทศ ทำให้ผู้ตามอย่างชาวเกาะ ต้องรุกหนักทำตลาดมากขึ้น 

ทว่าการเข้าไปปักธงในบางสาขาของ เทสโก้ ในอังกฤษ และคาร์ฟูร์ ในฝรั่งเศส ได้ก็ถือว่าเป็นการประเดิมสมรภูมิได้ดีระดับหนึ่ง

“กำลังจะเห็นแบรนด์ชาวเกาะซุ่มทำโปรเจคพาแบรนด์สู่สมรภูมิระดับโลก ด้วยกลยุทธ์สปอนเซอร์ชิป ที่ตอนนี้ขออุบไว้ก่อน เราใช้เงินลงทุนสูงเพื่อหวังให้ตลาดโลกรู้จักแบรนด์ชาวเกาะมากขึ้น”

นันทินี ยังบอกว่า แม้บางครั้งจะมีความขัดแย้งทางความคิดระหว่างคนในครอบครัว ซึ่งเป็นทายาทรุ่น 2 แต่เธอก็ต้องพยายามช่างน้ำหนักระหว่างความคิดของผู้มีประสบการณ์ กับแนวคิดของตัวเอง