จำคุกลูกน้อง'พล.ต.ท.ชลอ'ยักยอกเงินคดีเพชรซาอุฯ

จำคุกลูกน้อง'พล.ต.ท.ชลอ'ยักยอกเงินคดีเพชรซาอุฯ

ฎีกายืนจำคุก10ปี"พ.ต.อ.ประเสริฐ"อดีตผกก.ตำรวจม้า ลูกน้อง"พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ"ยักยอกเงิน6แสนของกลางคดีเพชรซาอุฯ

ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดียักยอกเพชรซาอุฯ หมายเลขดำ4903/2536 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 2 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ อดีตผู้บัญชาการประจำกรมตำรวจ , พ.ต.อ.ประเสริฐ จันทราพิพัฒน์ อดีต ผกก.ตำรวจม้า กองบังคับการตำรวจสายตรวจ,พ.ต.ต.ธานี สีดอกบวบ อดีตสารวัตร กก.กาฬสินธุ์ (หลบหนีการดำเนินคดี) , ร.ต.อ.ฤทธิศาสตร์ แก้วเดช อดีต รองสว.สส. สภ.อ.บ้านตาก จ.ตาก , ด.ต.เท่ง ติ๊บปะละวงศ์ อดีต ผบ.หมู่ สภ.อ.เถิน จ.ลำปาง , จ.ส.ต.สนิท กาวิชา อดีต ผบ.หมู่ สภ.อ.เถิน, จ.ส.ต.เสวก หรือ ส่วย กันทะมา อดีตตำรวจ ผ.5 กก.2 ป. และนายสุรจิต หรือ แดงหงอก ชัยศิริ (เสียชีวิตเมื่อปี 2547) เป็นจำเลยที่ 1-8 ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ , เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินจากผู้อื่นเพื่อประโยชน์ตนเองหรือผู้อื่น, ร่วมกันเบียดบังยักยอกทรัพย์ของผู้อื่นเป็นของตนเองโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 , 149 , 147 และความผิดอื่นๆอีกหลายข้อหา

ตามฟ้องโจทก์ เมื่อวันที่ 7 ก.ค.36 บรรยายพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า พวกจำเลยซึ่งเป็นคณะพนักงานสอบสวนสืบหาเครื่องเพชรของเจ้าชายไฟซาล ประเทศซาอุดีอาระเบีย มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท ซึ่งถูกนายเกรียงไกร เตชะโม่ง คนงานไทยขโมยมาจากพระราชวังก่อนเดินทางกลับประเทศไทย และนำมาขายให้กับนายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ เสี่ยเจ้าของร้านเพชร “สันติมณี” ผู้ต้องหาคดีรับของโจร โดยระหว่างสืบสวนสอบสวนคดีพวกจำเลยทั้งหมดได้เรียกรับเงินจากนายสันติ ผู้ต้องหาหลายครั้ง จำนวน 3 ล้านบาท , จำนวน 660,000 บาท และจำนวน 1.2 ล้านบาท เพื่อแลกกับการไม่ดำเนินคดีรับของโจร โดยพวกจำเลย ยังได้ร่วมกันยักยอกเพชรและทรัพย์สินของกลางหลายรายการ เช่น นาฬิกาข้อมือฝังเพชรยี่ห้อโชปาร์ด ,นาฬิกายี่ห้อบูเช่กิรอด ,อัญมณีแดงรูปดอกลำดวน 5แฉก สร้อยเพชร สร้อยคอทองคำฝังเพชร จี้เพชร ต่างหู และอื่น ๆ ไปโดยไม่นำส่งคืนให้กับพนักงานสอบสวนด้วย ขณะที่จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ ต่อสู้คดีมาโดยตลอด

โดยศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 มิ.ย.49 ว่า พล.ต.ท.ชลอ จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม ม.149 ให้จำคุก 2 กระทงๆ ละ 10 ปี รวมจำคุก 20 ปี , ร.ต.อ.ฤทธิศาสตร์ จำเลยที่ 4 มีความผิดตาม ม.147 ให้จำคุก 7 ปี ขณะที่คำให้การในชั้นสอบสวนเป็นโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง จึงลดโทษให้ 1ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 4 เป็นเวลา 4 ปี 8 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2, 5-7 ให้ยกฟ้องเนื่องจากพยานโจทก์ยังไม่เพียงพอ และให้คืนทรัพย์สินของกลาง 9 รายการ กับเงิน 200,000 บาท ให้แก่ผู้มีสิทธิ์

ต่อมาโจทก์-จำเลยยื่นอุทธรณ์ ขณะที่ศาลอุทธรณ์ มีคำตัดสินเมื่อวันที่ 9 ก.พ.55 พิพากษายืนจำคุก พล.ต.ท.ชลอ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 20 ปี แต่พิพากษาแก้ให้จำคุก พ.ต.อ.ประเสริฐ จำเลยที่ 2 เป็นเวลา 10 ปี ตาม ม. 147 ส่วนจำเลยที่ 5, 6 และ 7 จำคุกคนละ 7 ปี ตาม ม.149 แต่จำเลยที่ 5-6 นำเงินของกลาง 200,000 บาทมาคืน จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 5 - 6 ไว้คนละ 4 ปี 8 เดือน นอกเหนือจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ภายหลัง พ.ต.อ.ประเสริฐ จำเลยที่ 2 ได้ยื่นฎีกาขอให้ยกฟ้อง โดยระหว่างฎีกาจำเลยที่ 2 คงถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ส่วนจำเลยที่ 1 , 4-7 ไม่ยื่นฎีกาคดีจึงยุติในชั้นอุทธรณ์

ทั้งนี้ ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว จากทางนำสืบรับฟังได้ว่า นายเกรียงไกร เตชะโม่ง คนงานไทยซึ่งเป็นพนักงานทำความสะอาด ได้ขโมยทรัพย์สินมาจากพระราชวังซาอุฯ ซึ่งเป็นเพชร เครื่องประดับ อัญมณีและอื่น ๆ น้ำหนักรวมประมาณ 30 กิโลกรัม รวมมูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท ก่อนเดินทางกลับประเทศไทย จากนั้นทางการซาอุฯได้ประสานมายังทางการไทยเพื่อให้ติดตามจับกุมตัวนายเกรียงไกร โดยตั้ง พล.ต.ท.ชลอ จำเลยที่ 1 เป็นหัวหน้าชุดสืบสวน ที่มีจำเลยที่ 2-4 อยู่ในชุดสืบสวนด้วย เมื่อนายเกรียงไกร ทราบว่ามีการตั้งชุดสืบสวนติดตามจับกุมจึงได้หลบหนีและนำทรัพย์สินไปฝากไว้กับญาติ รวมทั้งขายให้กับผู้ต้องหารายอื่น ๆ บางส่วน นอกจากนี้ชุดสืบสวนก็ติดตามยึดทรัพย์สินคืนมาได้บางส่วนแต่ไม่นำส่งพนักงานสอบสวน ซึ่งต่อมานายเกรียงไกร ถูกจับกุมได้ที่ จ.ตาก จนกระทั่งถูกศาลพิพากษาจำคุก จนคดีถึงที่สิ้นสุด

โดย พ.ต.อ.ประเสริฐ จำเลยที่ 2 ฎีกาคัดค้านว่า พยานโจทก์ไม่ได้ยืนยันว่าจำเลยที่ 2 ได้เบียดบังเอาทรัพย์สินไป และพยานโจทก์ จำไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้เดินทางไปยังบ้านพักของนายนิคม เตชะโม่ง ญาติของนายเกรียงไกร เพื่อเรียกรับทรัพย์สินด้วยหรือไม่

ศาลฎีกา พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้คำให้การของพยานโจทก์ จะให้การขัดแย้งกันบ้าง แต่จำเลยที่ 2 ก็มิได้ยืนยันว่าไม่ได้เดินทางไปยังบ้านของนายนิคม แต่จำเลยที่ 2 กลับยอมรับว่าได้เดินทางไปยังบ้านหลังดังกล่าวจริง เพียงแต่บ่ายเบี่ยงว่าไม่ได้เข้าไปในบ้านพักโดยรออยู่ในรถ ก่อนจะเดินทางกลับ ซึ่งศาลฎีกาได้ตรวจดูบันทึกคำให้การของพยานในชั้นสอบสวนของศาลจังหวัดเชียงใหม่และศาลจังหวัดตากแล้ว เห็นว่าการสอบปากคำจำเลย 4 คน ก็เป็นไปด้วยความรอบคอบรัดกุม ไม่ถูกชักนำหว่านล้อมเพื่อให้พยานให้ปากคำผิดเพี้ยนจากข้อเท็จจริง ซึ่งในการสอบสวนดังกล่าวมีทั้งข้าราชการฝ่ายกระทรวงมหาดไทยและเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ นำโดยพล.ต.ท.ธนู หอมหวนพร้อมคณะร่วมทำการสอบสวนด้วย และมีการสอบสวนถึง 5 ครั้ง มีการทำบันทึกถ้อยคำอย่างละเอียดถี่ถ้วน ซึ่งพยานต่างเบิกความสอดคล้องตรงกันไปตามที่รู้เห็น มิได้บิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งหาก ไม่ได้สมัครใจในการเข้าให้ถ้อยคำ ก็เป็นการยากที่พนักงานสอบสวนจะปรุงแต่งเรื่องขึ้นมาเอง เนื่องจากข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวมีความสลับซับซ้อนและมีบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม แม้พยานโจทก์ จะไม่ได้ยืนยันว่าจำเลยที่ 2 เอาเงิน 660,000 บาทไปหรือไม่ แต่ก็รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 เดินทางไปบ้านนายนิคม ญาติของนายเกรียงไกรจริง ศาลฎีกาจึงมีอำนาจรับฟังจากพยาน 4 ปากในชั้นสอบสวนและสืบเสาะข้อเท็จจริงได้ โดยมิต้องถือถ้อยคำตามพยานโจทก์ ซึ่งพยานทั้ง 4 ปากต่างยืนยันตรงว่า พ.ต.อ.ประเสริฐ จำเลยที่ 2ได้รับเงินจากนายนิคม ซึ่งไปฝากไว้กับพันจ่าอากาศเอกคนหนึ่ง จำนวน 660,000 บาทจริงโดยไม่ส่งมอบให้กับพนักงานสอบสวน แต่กลับเบียดบังทรัพย์สินไปเป็นของตนโดยทุจริต จึงมีความผิดตาม ม. 147 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน จำคุก 10 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การพิจารณาคดีนี้ใน ศาลชั้นต้นใช้เวลาสืบโจทก์-จำเลย นานกว่า13 ปี เนื่องจากเอกสารในคดีมีจำนวนมาก และต้องส่งประเด็นไปสืบตามศาลจังหวัดต่างๆ รวมทั้งการติดตามพยานในศาลอุทธรณ์อีก 6 ปี รวมเป็นเวลากว่า 19 ปี โดยคดีนี้เป็นคดีแรก ที่ยื่นฟ้อง พล.ต.ท.ชลอ กับพวก ในสำนวนคดีเพชรซาอุฯ กระทั่งมีการยื่นฟ้อง พล.ต.ท.ชลอ กับพวก คดีอุ้มฆ่า นางดาราวดี และ ด.ช.เสรี ภรรยาและบุตรชายของนายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ เสี่ยเจ้าของร้านเพชร “สันติมณี” ที่รับซื้อเพชรมาจาก นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ที่เป็นผู้ขโมยเพชรมาจากวังเจ้าชายไฟซาล โดยคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ให้ประหารชีวิต พล.ต.ท.ชลอ แต่เมื่อวันที่ 25 ต.ค.56 พล.ต.ท.ชลอ ก็ได้รับการปล่อยตัว จากเรือนจำกลางบางขวาง หลังถูกจำคุกมานานกว่า 19 ปี เนื่องจากเรือนจำฯ ได้เสนอพักการลงโทษให้กับ พล.ต.ท.ชลอ เนื่องจากเป็นผู้ต้องขังที่มีคุณสมบัติเข้าเงื่อนไขพักการลงโทษ หลังจากการรับโทษจำคุกมาแล้วเกิน 2 ใน3 และยังเป็นผู้ต้องขังที่จัดอยู่ในกลุ่มนักโทษชรา มีอายุเกิน 70 ปี รวมทั้งมีอาการป่วยเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ขณะที่ระหว่างการพิจารณาคดีนั้น พล.ต.ท.ชลอ ก็ได้ถูกถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 5 พ.ย.53 เนื่องจากต้องคำพิพากษาถึงที่สุดประหารชีวิตในคดีอุ้มฆ่าสองแม่ลูกตระกูลศรีธนะขัณฑ์ ซึ่งปัจจุบัน พล.ต.ท ชลอ อายุ 72 ปี และได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ ธัชพล เกิดเทศ ” แล้ว

ส่วนนายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ เจ้าของร้านเพชร ที่ถูกยื่นฟ้องคดีฐานรับของโจรนั้น คดีก็ถึงที่สุดแล้วเช่นกันตามคำพิพากษาศาลฎีกาพิพากษาที่ให้จำคุกเป็นเวลา 3 ปี