4โบรกทุบค่าคอมมิชชั่น

4โบรกทุบค่าคอมมิชชั่น

สงครามคอมมิชชั่นระอุอีกครั้ง หลัง4โบรกเกอร์ทุบค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้น คำนวณวอลุ่ม1ล้านบาท จ่ายแค่250บาท

แหล่งข่าวจากวงการโบรกเกอร์ เปิดเผยว่า แนวโน้มการแข่งขันของธุรกิจโบรกเกอร์ในด้านค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ยังรุนแรงอยู่ โดยปัจจุบันพบว่า มีบริษัทหลักทรัพย์อย่างน้อย 4 ราย แข่งขันค่าคอมมิชชั่นอย่างดุเดือด คิดค่าบริหารถูกสุดที่ยอดการซื้อขาย 1 ล้านบาท คิดค่าคอมมิชชั่น 200 บาท ถึง 350 บาท หากเทรดเกิน 20 ล้านบาทต่อวันไม่คิดค่าบริการ

"การแข่งขันในตอนนี้ยังดุเดือด ไม่ได้ลดลงอย่างที่หลายคนคาดการณ์ แม้ปริมาณการซื้อขายต่อวันจะเพิ่มขึ้น แต่เมื่อพิจารณากันจริงๆ จะพบว่า เป็นแรงซื้อของนักลงทุนรายใหญ่ กับ บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ที่ซื้อขายหลักๆ ส่วนนักลงทุนทั่วไปขนาดกลางและขนาดเล็ก 2 กลุ่มนี้ไม่ได้เข้ามาซื้อขายมากนัก"แหล่งข่าวกล่าว

ทั้งนี้ 4 บริษัทหลักทรัพย์ที่แข่งขันกันลดค่าคอมมิชชั่นนั้น ส่วนใหญ่เป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่มีลูกค้ารายใหญ่จำนวนมาก และเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่มีหุ้นจองซื้อในปริมาณที่สูง อาทิเช่น บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส บริษัทหลักทรัพย์ แอพเพิล เวลธ์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ และ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป ซึ่งในระยะต่อไป ยังประเมินว่าการแข่งขันยังรุนแรงต่อเนื่อง โดยผู้เล่นในตลาดหลายรายเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพราะธุรกิจโบรกเกอร์เป็นธุรกิจขาลง (ซันเซท) หากไม่เพิ่มคุณภาพการให้บริการ ยิ่งเป็นเร่งสู่ความเสียหาย ส่วนการดูแลของสมาคมบริษัทหลักทรัพย์นั้น ไม่สามารถเข้ามาควบคุมการแข่งขันได้ เพราะปัจจุบันถือว่าค่าคอมมิชชั่นเป็นแบบเสรี

นายสุเทพ พีตกานนท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธุรกิจโบรกเกอร์ช่วงที่เหลือของปีนี้ มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น จากภาพรวมตลาดที่คึกคักขึ้น มูลค่าการซื้อขายอยู่ในระดับ 50,000 ล้านบาท จากช่วงต้นปีที่มูลค่าการซื้อขายอยู่ในระดับ 3-4 หมื่นล้านบาทเท่านั้น แต่ยอมรับผลการดำเนินงานทั้งปีอาจจะไม่เทียบเท่ากับปี 2556 ที่มีวอลุ่มการซื้อขายสูงกว่าปีนี้ค่อนข้างมาก

ด้านการแข่งขันในธุรกิจโบรกเกอร์แม้ในช่วงที่ผ่านมาจะแข่งขันรุนแรง และมีการแย่งชิงเจ้าหน้าที่การตลาดสูงมาก แต่ภายหลังจากสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย ได้เข้ามาไกล่เกลี่ยและวางกรอบกติกาต่างๆ ให้มีความชัดเจนมากขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีประกอบกับในช่วงที่ผ่านมา มูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้น ทำให้ปัญหาทุกอย่างเริ่มคลี่คลาย โดยในช่วงไตรมาสที่ 4 นั้นมองว่า ธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ อาจคึกคักน้อยลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 เพราะเป็นช่วงเข้าสู่ปลายปี นักลงทุนจะลดการซื้อขายลง โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติ ที่เริ่มเข้าสู่เทศกาลวันหยุด แต่เชื่อว่าจะกลับมาคึกคักอีกครั้งในช่วงปี 2558

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นในปี 2558 ยังสดใส จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ที่มีทิศทางดีต่อเนื่องจากปีนี้ ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยจากการประมาณพบว่า ระดับดัชนีที่เหมาะสมในปี 2558 จะอยู่ที่ 1,757 จุด

"ในปีหน้าการเติบโตมีแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีหน้ายังดีดู การเติบโตของจีดีพีน่าจะอยู่ในระดับ 4-5 % ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนให้เติบโตในทิศทางที่ดีไปด้วย โดยในปีนี้ เราประเมินดัชนีที่เหมาะสมที่ 1,757 จุด ที่ระดับราคาปิดกำไรต่อหุ้น (พี/อี) 15.2 เท่า ซึ่งเป็นระดับพี/อีเฉลี่ยของตลาดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา "

ประธานกรรมการบริหาร กล่าวเพิ่มเติมว่า ระดับดัชนีดังกล่าวนั้นจะมาจากการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน ที่ 17 % และมีอัตราเงินปันผลที่ 2.9 % ซึ่งการปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดในรอบนี้เกิดจากเศรษฐกิจของสหรัฐและยุโรปมีแนวโน้มชะลอ ส่งผลต่อการปรับฐานของตลาดหุ้นทั่วโลก และจากช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นไปโดดเด่นเป็นอันดับที่ 2 ของตลาดหุ้นในเอเชีย ทำให้เกิดแรงขายออกลง ซึ่งระดับดัชนีในปัจจุบันถือว่ามีความน่าสนใจในการลงทุน โดยเฉพาะช่วง 1,520 จุด เพราะมีระดับพี/อีที่ 13.3 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต โดยแรงที่จะเข้ามาผลักดันตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลังจะมาจากเม็ดเงินจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) ที่จะเข้ามาอีกหลายหมื่นล้านบาท