พระเอก เพชรเม็ดใหม่

สิทธา สภานุชาติ หรือเอี๊ยง นักร้องวงบอยแบนด์ปรับลุค ขยับสู่บทพระเอกเต็มตัวในผลงานล่าสุด ชิงรักหักสวาท

สิทธา สภานุชาติ หรือเอี๊ยง นักร้องวงบอยแบนด์ปรับลุค ขยับสู่บทพระเอกเต็มตัวเป็นครั้งแรกในผลงานล่าสุด ชิงรักหักสวาท ละครแนวพีเรียดดราม่า เผชิญความกดดันและใช้อุตสาหะ เดินหน้าสร้างความสุขให้คนดูพร้อมๆ กับสร้างอนาคตให้กับตนเองบนเส้นทางบันเทิง

เคยชิมลางการแสดงละครมาแล้วในเรื่อง กากับหงส์ กับบทน้องชายนางเอก มาคราวนี้แจ้งเกิดกับบทพระเอกเต็มตัวเรื่องแรกในละครพีเรียด ชิงรักหักสวาท ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 สำหรับพระเอกหน้าหล่อดีกรีหนุ่มคลีโอหนุ่มโสดในฝัน "เอี๊ยง สิทธา สภานุชาติ" มาพร้อมประโยคที่ว่า "ผมอยากให้คนดูดูละครของผมแล้วมีความสุข มีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะ"

หนึ่งในนักร้องวง Rookiebb เคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนโครงการ YFU ไปที่อเมริกา สำเร็จการศึกษาจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดูผิวเผินเหมือนเด็กหนุ่มรุ่นใหม่ที่วิ่งตามฝัน หากแต่เมื่อได้พูดคุยกับเขาแล้ว ทำให้รู้ว่าพระเอกป้ายแดงคนนี้มีไม่ธรรมดา เพราะแค่ช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปีในโลกมายากับการทำงานที่หลากหลายได้เจียระไนให้เขาเจิดจรัสยิ่งขึ้น

๐ เข้าวงการบันเทิงได้อย่างไร?

การเป็นนักร้องไม่ใช่งานแรกในวงการนี้ ช่วงอายุ 17 ก็ไปแคสโฆษณาบ้าง แต่พออายุ 18 ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่สหรัฐอเมริกา 1 ปี พอกลับมาพี่ที่ดูแลบอกว่า เราโตแล้วถ่ายโฆษณาไม่ได้ แต่ให้ไปลองแคสที่อาร์เอส ซึ่งเป็นค่ายเพลง

ณ วันนั้น ร้องเพลงไม่เป็น เต้นไม่ได้

จากที่เต้นไม่เป็นเลย นับจังหวะ 8 ยังทำไม่ค่อยถูก แต่ต้องมาเป็นบอยแบนด์ร่วมกับอีก 2 คน ซึ่งเหมือนบอร์นทูบีคือ เต้นกันมาตั้งแต่ 7 ขวบ มีต้นทุนที่ดีกว่ามาก ผมรู้สึกเริ่มล้า กดดัน ความรู้สึกเอาชนะเริ่มกลับมาทำร้ายตัวเอง รู้สึกว่าจากคนที่เต้นไม่เป็นเลย แล้วต้องมาเต้นเป็นอาชีพ มันยากมาก เป็นเรื่องใหญ่

ช่วงก่อนเปิดตัว ซ้อมกันวันละ 4-5 ชั่วโมง กดดันจนร้องไห้ ทั้งเหนื่อย ทั้งท้อ นอกจากซ้อมร้อง เต้น ผมก็ต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต นั่งรถตู้ 1 ชั่วโมง มาซ้อม 4 ชั่วโมง แล้วนั่งรถตู้ 1 ชั่วโมงกลับไปเรียน ตอนนั้นเป็นช่วงปี 1-2 ซึ่งถือเป็นช่วงของความทรงจำดีๆ ในชีวิตมหาวิทยาลัย แต่ผมไม่อยู่ในความทรงจำของเพื่อนเลย

ตอนนั้นท้อมาก เพื่อนก็ไม่มี เต้นก็ไม่ได้ เงินก็ยังไม่ได้ สิ่งที่ทำให้ผมไม่เลิกก็คือ ผมไม่อยากแพ้ ถ้าหันหลังกลับไปตอนนี้ สิ่งที่สู้มาตลอด 2 ปีจะสูญเปล่า

๐ เรียนรู้อะไรบ้างจากอาชีพนักร้อง?

ความรับผิดชอบอย่างมากเลย อย่างช่วงสอบ งานเยอะมาก แล้วเราจะทำอย่างไรให้การเรียนกับการทำงานไปด้วยกันได้ ถ้าเรียนไม่ดี เรียนไม่จบ แม่รอซ้ำอยู่ ขณะเดียวกันถ้าผมไม่ทำงานให้ดีก็จะแพ้ ดังนั้น ต้องทำ 2 อย่างให้ดีตามที่ตั้งใจไว้

ทีนี้ก็ต้องหาทาง เพราะผมไม่ใช่เด็กเรียนดี การตั้งใจเรียนอย่างเดียวอาจจะไม่เหมาะ ผมก็เข้าหาอาจารย์ เช่น ขอสอบวันอื่นที่ไม่ตรงกับตารางงาน ทำรายงานแทน หรือขอเรียนเสริม ขณะที่บางงานก็ขอเลื่อน เพราะมีเรียนหรือมีสอบที่ขาดไม่ได้จริงๆ และก็ทำให้ผมเรียนจบได้ภายใน 4 ปี ซึ่งก็ภูมิใจมาก

กว่า 4 ปีของการเป็นนักร้องมีทั้งสนุก มีทั้งเครียด เพราะถ้าพูดตรงๆ ช่วงที่ผมออกงานเพลง ถือเป็นยุคขาลง เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากยุคเทป/ซีดีเป็นยุคดิจิทัล ดาวน์โหลด เงินที่ตอบแทนมาก็ไม่ได้มากเหมือนที่หลายคนคิด รายได้หลักคือ งานจ้าง ซึ่งเงินก้อนนั้น ผมก็ต้องมาบริหารจัดการตัวเอง

เหมือนเอาความเป็นผู้ใหญ่มาใส่ในตัวเด็กอายุ 20 ปี ผมต้องจัดสรรเงิน จ่ายค่าหอ ค่าผ่อนรถ ค่าไฟ ฯลฯ พฤติกรรมการใช้เงินเปลี่ยน แม้ก่อนหน้าที่ขอเงินแม่ก็ได้ไม่เยอะเพราะบ้านเราเป็นบ้านกลางๆ แต่พอใช้เงินตัวเอง ผมกลายเป็นคนงกไปเลย

๐ จากนักร้องสู่นักแสดงต้องปรับตัวไหม?

ทั้งสองอย่างนี้ ต้องบอกว่า ทักษะไม่ใกล้กันเท่าไหร่ เป็นคนละศาสตร์ แต่ก็มีสิ่งที่ใกล้กัน เช่น การทำอารมณ์ การใช้มุมกล้องหรือการสื่อสารกับคนดู แต่สิ่งที่ใช้มากที่สุดคือ เทคนิคการเข้าสังคมที่ผมมองว่าสำคัญ เช่น บางคนฝีมืออาจจะไม่ได้จัดจ้านมาก แต่อัธยาศัยดีทำงานด้วยง่าย ตรงนี้ทำให้เขามีงานเรื่อยๆ ผมคิดว่าเป็นเรื่องดี เพราะความเป็นมือใหม่อาจจะไม่ได้เก่ง แต่ว่าทำอย่างไรให้ผู้ร่วมงานรู้สึกสบายใจกับการทำงานด้วย ผมก็เอาตรงนี้ไปใช้ในการทำงาน

ส่วนการเรียนแอคติ้งช่วยให้เกิดความมั่นใจ แต่ในความเป็นจริง กองละครเป็นอีกมิติหนึ่งเลย ในคลาสมีแค่ผมกับครู ขณะที่ในกองมีคนมากมาย เช่น เวลาทำสมาธิ ช่างแต่งหน้าทำผม ก็ต้องมาดูแลหน้าผม มีพี่มาบรีฟบท ทุกอย่างเป็นสิ่งเร้าหมดเลย สมาธิที่จะทำก็กระเจิงหมด

๐ ดูแลสุขภาพอย่างไร?

ช่วงที่หาเงินและเก็บเงินได้ก้อนแรก ตัดสินใจซื้อรถก่อน เพราะเชื่อว่าจะเป็นการบังคับตัวเองไม่ให้ใช้เงินไปกินเที่ยว นอกจากนี้ก็สมัครสมาชิกฟิตเนสเพื่อดูแลสุขภาพให้ฟิตแอนด์เฟิร์ม ช่วงแรกก็ไม่เห็นผล เพราะลองผิดลองถูก ไม่ได้จ้างเทรนเนอร์

พอปีที่ 2 ผมเริ่มรู้ทาง ความรู้จากการลองผิดลองถูกเริ่มตกตะกอน บวกกับหาความรู้มากขึ้น ผลลัพท์ก็เริ่มดีขึ้น ร่างกายเริ่มเข้าที่ มีกล้ามเนื้อ มีบอดี้กระทั่งมีละครติดต่อเข้ามา รวมถึงเป็นโอกาสให้เข้าไปประกวดหนุ่มคลีโอ

ตอนที่ไปยืนเรียงกันกับบรรดาผู้เข้าประกวด รู้เลยว่า ถ้าเริ่มช้ากว่านี้สักปี ร่างกายจะไม่ได้อย่างนี้เพราะจะตัวเล็ก จมหายไปในแถว แต่สุดท้ายก็ได้ตำแหน่งหนุ่มในฝันปี 2013 งานก็เข้ามา ละครก็มา คนรู้จักมากขึ้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะเมื่อก่อนผอมมากจากน้ำหนัก 55 กิโลกรัมเพิ่มมาเป็น 71 กิโลกรัม ในตอนนี้ชอบเล่นฟิตเนสมาก ต้องเข้าไปเล่น 4-5 วันต่อสัปดาห์ ส่วนกีฬาอย่างอื่นที่เล่นก็มีฟุตบอลกับว่ายน้ำ ถ้ามีเวลาก็ต้องไปอย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์

เรื่องอาหาร ผมเป็นคนกินจุ แต่ไม่ใช่ขนมหรือของหวาน แต่ต้องเป็นข้าวหรืออาหารจานหลัก บางทีกิน 5 มื้อต่อวัน โชคดีที่ระบบเผาผลาญทำงานดี เลยไม่อ้วน ส่วนอาหารเสริมไม่ได้เน้นเรื่องวิตามิน แต่จะเน้นโปรตีนสร้างกล้ามเนื้อ

การดูแลภาพลักษณ์ กลายเป็นสิ่งจำเป็นนอกจากต้องดูแลใส่ใจผิวหน้า เข้าคลินิกดูแลผิว 1 ครั้งต่อสัปดาห์แล้ว ตั้งแต่เป็นหนุ่มคลีโอก็เลิกใส่กางเกงขาสั้น รองเท้าแตะออกจากบ้าน แล้วทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ซึ่งก็ส่งผลดีต่อการออกงานสังคม