สตง.ชง'ประยุทธ์'ยุบ'กสทช.'

สตง.ชง"ประยุทธ์"ยุบ กสทช. อ้างเหตุปัญหาในเรื่องการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินไม่ได้ประสิทธิภาพ
เฟซบุ๊คสำนักข่าวอิศรารายงานวันนี้ว่า ได้รายงานรายละเอียดในหนังสือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ทำถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อขอให้พิจารณาทบทวนพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และการกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 และขอให้แจ้งสำนักงาน กสทช. นำเงินรายได้จากการประมูลคลื่นความถี่ เพื่อให้บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิตอล จำนวน 50,862 ล้านบาท ส่งเป็นรายได้แผ่นดิน รายละเอียดว่า
"ตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ได้ทำการตรวจสอบงบการเงินและประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สินของสำนักงานคณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ตั้งแต่การประกาศใช้พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และการกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2553 จนถึงปัจจุบัน
พบว่า ในการดำเนินงานของสำนักงาน กสทช. ยังคงมีปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงาน ซึ่งหลักสำคัญอยู่ที่กฎหมายจัดตั้งหน่วยงาน คือ พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และการกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 (พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่) นั้น
จากการพิจารณา พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ พบว่า ประเด็นหลักที่ทำให้การดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินของสำนักงาน กสทช. ยังคงมีปัญหาในเรื่องการดำเนินงานและการใช้จ่ายเงินไม่ได้ประสิทธิภาพตามเจตจำนงแห่งรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ
1. การบริหารการใช้จ่ายเงินรายได้ที่จัดเก็บมีความเป็นอิสระแตกต่างจากองค์กรของรัฐทุกประเภท โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการงบประมาณตามกฎหมายว่าด้วยการเงินการคลังของรัฐ ซึ่งอาจขัดแย้งไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฯ จนอาจทำให้เกิดการใช้จ่ายเงินไม่มีประสิทธิภาพได้
ตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ มาตรา 57 (2) ได้ระบุ ให้สำนักงาน กสทช. มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้
จัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีของสำนักงาน กสทช. เพื่อเสนอ กสทช. อนุมัติโดยรายจ่ายประจำปีของสำนักงาน กสทช. ให้หมายความรวมถึงรายจ่ายใด ๆ อันเกี่ยวกับการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของ กสทช. กสท. กทค. และสำนักงาน กสทช. เป็นเหตุให้การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีของสำนักงาน กสทช. และการใช้จ่ายเงินขาดการควบคุมดูแลตามหลักการบริหารเงินงบประมาณที่ดี ตามกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ และมีความแตกต่างจากองค์กรของรัฐอื่น ๆ ที่ต้องมีหน่วยงานอื่นที่มีความชำนาญ เช่น สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมาการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พิจารณาความเหมาะสมของการจัดทำงบประมาณหรือการใช้จ่ายเงินเพื่อการลงทุน เพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงของประเทศได้ทราบและเห็นทิศทางการพัฒนา และการใช้ทรัพยากรของชาติในทุกประเภทและทุกมิติ
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเห็นว่าควรมีการพิจารณาข้อกำหนดใน พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่เกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินที่ต้องผ่านขั้นตอนเหมือนกับหน่วยงานของรัฐโดยทั่วไป เพื่อทำให้การใช้จ่ายเงินมีความรอบคอบ รัดกุมและเกิดประสิทธิผลมากที่สุด
2. รายได้ที่ได้จากทรัพยากรของชาติ ซึ่งถือเป็นทรัพยากรของประชาชนชาวไทยทุกคนถูกกำหนดให้มีกลุ่มบุคคลทำการบริหารการใช้จ่าย โดยมิได้พิจารณาถึงความเหมาะสมอย่างเพียงพอและไม่มีการสอบทานการตั้งงบประมาณการใช้จ่ายจากองค์กรที่มีบุคลากรซึ่งมีความรู้และความชำนาญ เพื่อให้การใช้จ่ายเงินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างมากที่สุด ดังนี้
ตาม พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ มาตรา 41 วรรคหกและมาตรา 42 รายได้ที่ได้จากการประมูลคลื่นความถี่ทั้งในระดับชาติ ระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่นของกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ ให้สำนักงาน กสทช. นำส่งเข้ากองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม ฯ (กองทุนวิจัยและพัฒนาฯเป็นกองทุนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช.) ซึ่งในปี 2556 สำนักงาน กสทช. มีรายได้จากการประมูลคลื่นความถี่เพื่อให้บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิตอลประเภทบริการทางธุรกิจระดับชาติ เป็นจำนวนถึง 50,862.00 ล้านบาท
แต่ในขณะที่มาตรา 45 ได้กำหนดว่าเงินได้ที่ได้จากการประมูลคลื่นความถี่เพื่อกิจการโทรคมนาคม เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วให้นำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ซึ่งมีความแตกต่างจากรายได้การประมูลคลื่นความถี่ของกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์
เมื่อติดตามตรวจสอบรายได้ที่กองทุนวิจัยและพัฒนาฯ ได้รับ พบว่า นอกจากจะได้รับเงินจากการประมูลคลื่นความถี่ของกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์แล้ว กสทช. ยังได้ออกประกาศเรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดเก็บรายได้เพื่อนำไปใช้ในการจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐาน
โดยระบุให้ผู้รับอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมต้องจัดสรรรายได้จากการให้บริการโทรคมนาคมให้แก่กองทุนในอัตราร้อยละ 3.75 ต่อปีของรายได้สุทธิ แต่ในปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดหลักเกณฑ์การเรียกเก็บจากกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์
ส่วนสำนักงาน กสทช. จะมีรายได้ส่วนหนึ่งมาจากค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม โดยให้ชำระเป็นรายปีปีละไม่เกินร้อยละสองของรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่ายของผู้รับใบอนุญาต
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเห็นว่าควรให้สำนักงาน กสทช. นำส่งเงินรายได้จากการประมูลคลื่นความถี่ จำนวน 50,862.00 ล้านบาท เป็นรายแผ่นดิน และเมื่อมีโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนก็ให้เสนอโครงการเพื่อขอรับการจัดสรรเงินต่อไป
3. คุณสมบัติและการได้มาซึ่งกรรมการ กสทช. เลขธิการ กสทช. และคณะกรรมการติดตามประเมินผลการประเมินผลงานปฏิบัติงาน
คุณสมบัติตาม พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มาตรา 7 ก. กำหนดคุณสมบัติเกี่ยวกับอายุไว้ว่า ผู้ที่จะเป็นกรรมการใน กสทช. และเลขาธิการ กสทช. ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบห้าปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกินเจ็ดสิบปีบริบูรณ์ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับองค์กรตามรัฐธรรมนูญอื่นพบว่า คุณสมบัติที่เกี่ยวกับอายุโดยทั่วไปจะไม่ต่ำกว่าสี่สิบห้าปี ส่วนคุณสมบัติที่เกี่ยวกับอายุของคณะกรรมการติดตามและประเมินผลฯ ไม่มีการระบุไว้ใน พ.ร.บ. ฉบับนี้
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเห็นว่า การกำหนดอายุของผู้เป็นกรรมการใน กสทช. และเลขาธิการ กสทช. อาจไม่เหมาะสมในเรื่องวัยวุฒิและวุฒิภาวะในการเข้ามาดูแลทรัพยากรของชาติที่มีมูลค่ามหาศาลและมีความสำคัญในเรื่องเกี่ยวกับการสื่อสารและความมั่นคงของประเทศ
การได้มา - กสทช.ตาม พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มาตรา 9 ได้กำหนดให้
ก.) สมาคม สถาบัน หรือองค์กรที่มีลักษณะตามที่กฎหมายกำหนดคือ สมาคมวิชาชีพด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ หรือกิจการโทรคมนาคม ที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปี สถาบันอุดมศึกษาที่สอนในระดับปริญญาในสาขาวิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ สื่อสารมวลชน โทรคมนาคม นิติศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ ไม่น้อยกว่าห้าปี และองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร ที่มีวัตถุประสงค์หลักด้านการคุ้มครองผู้บริโภค การส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน หรือที่มีวัตถุประสงค์หลักด้านการศึกษา วัฒนธรรม หรือการพัฒนาสังคมและจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลไม่น้อยกว่าห้าปี มาขอขึ้นทะเบียนไว้ต่อสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา
โดยในวรรคสี่ของมาตรา 9 ยังได้ระบุไว้ว่า เมื่อสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาได้รับจดทะเบียนสมาคม สถาบัน หรือองค์กรใดตามวรรคหนึ่งแล้วให้เป็นอันใช้ได้ การวินิจฉัยของศาลในภายหลังว่าการจดทะเบียนนั้นเป็นการไม่ชอบไม่ให้มีผลกระทบต่อการที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาได้ดำเนินการไปแล้วก่อนวันที่ศาลมีคำวินิจฉัย
ข.) ให้สมาคม สถาบัน หรือองค์ที่ได้ขึ้นทะเบียนแล้วเสนอชื่อผู้สมควรได้รับการคัดเลือกเป็นกรรมการเสนอชื่อพร้อมทั้งหนังสือยินยอมของบุคคลดังกล่าวภายในระยะเวลาที่เลขาธิการวุฒิสภากำหนด
ค.) คณะกรรมการสรรหาจำนวน 15 ท่าน ดำเนินการสรรหาผู้สมควรได้รับเลือกเป็นกรรมการ
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเห็นว่ากระบวนการได้มาอาจไม่เหมาะสม เนื่องจากอาจมีความไม่โปร่งใสและอาจถูกแทรกแซงจากกลุ่มผลประโยชน์ในธุรกิจนี้ เนื่องจากการคัดเลือกกันเองก่อนจะมีการสรรหา
การได้มา - เลขาธิการ กสทช.
ตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มาตรา 61 ระบุให้ประธานกรรมการ โดยความเห็นชอบของ กสทช. เป็นผู้แต่งตั้งและถอดถอนเลขาธิการ กสทช.
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเห็นว่า กระบวนการได้เลขาธิการ กสทช. มา ไม่มีความเหมาะสม เนื่องจากไม่มีการคานอำนาจกันระหว่าง กสทช. และเลขาธิการ กสทช. เพราะ กสทช. มีอำนาจแต่งตั้งและถอนถอนเลขาธิการ กสทช. ดังนั้น จึงควรกำหนดให้มีการสรรหาเลขาธิการ กสทช.เช่นกัน
ความชัดเจนเรื่องของอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการติดตามประเมินผลฯ
เนื่องจาก พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มาตรา 70 วรรคสอง ได้กำหนดให้ประธานวุฒิสภาเป็นผู้จัดให้มีการดำเนินการคัดเลือกบุคคลผู้สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการจำนวนสองเท่าของจำนวนกรรมการตามวรรคหนึ่ง เพื่อนำเสนอให้วุฒิสภาพิจารณาคัดเลือกต่อไป ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ประธานวุฒิสภากำหนด และมาตรา 72 ที่ระบุให้คณะกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน มีอำนาจหน้าที่ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินการและบริหารงานของ กสทช. กสท. กทค. สำนักงาน กสทช.และเลขาธิการ กสทช. แล้วแจ้งผลให้ กสทช. ทราบภายในเก้าสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชีและให้กสทช. นำรายงานดังกล่าวเสนอต่อรัฐสภาพพร้อมรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปีของ กสทช. ตามมาตรา 37 และเปิดเผยรายงานดังกล่าวให้ประชาชนทราบทางระบบเครือข่ายสารสนเทศของสำนักงาน กสทช.หรือวิธีการอื่นที่เห็นสมควร
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเห็นว่า อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการติดตามประเมินผลฯ หากไม่ชัดเจนและอาจซ้ำซ้อนกับหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจสอบภายใน (Audit committee) และจากการตรวจสอบการตั้งงบประมาณและการใช้จ่ายเงินพบว่า คณะกรรมการติดตามประเมินผลฯ มีการใช้จ่ายเงินในปี 2556 จำนวน 52.00 ล้านบาท และมีการของบประมาณเพื่อใช้จ่ายในการดำเนินงานของคณะกรรมการติดตามประเมินผลฯ ในปี 2557 จำนวน 170.00 ล้านบาท ซึ่งมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึงประมาณร้อยละ 200 จากจำนวนค่าใช้จ่ายในปีก่อน และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการดำเนินการในลักษณะของสำนักงานและมีบุคลากรเป็นการเฉพาะ ซึ่งอาจมีเนื้องานที่ซ้ำซ้อนกับการตรวจสอบภายในได้
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินจึงขอเสนอข้อตรวจพบดังกล่าว ให้กับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อประกอบการพิจารณาทบทวนพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และการกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 พร้อมกับขอเสนอให้ คสช. แจ้งสำนักงาน กสทช. นำเงินรายได้จากการประมูลคลื่นความถี่เพื่อให้บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิตอลประเภทบริการทางธุรกิจระดับชาติ จำนวน 50,862.00 ล้านบาทส่งเป็นรายได้แผ่นดินในเบื้องต้นก่อน แล้วจึงให้เสนอของบประมาณเพื่อดำเนินโครงการที่จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่สาธารณชนในด้านการกระจายเสียงโทรทัศน์และคมนาคมอย่างคุ้มค่า ยั่งยืนและแท้จริงต่อไป
จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการ ลงชื่อนางสาวประพีร์ อังกินันทน์รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน รักษาราชการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน"
'คนละครึ่ง' ลงทะเบียน 20 ม.ค.นี้ ใครไม่มีสิทธิ์รับเงิน 3,500 บาทบ้าง?
‘เราชนะ’ วันนี้ลุ้น! ครม. อนุมัติหลักเกณฑ์จ่าย 'เงินเยียวยา' 31 ล้านคน
‘เราชนะ’ ลุ้นวันนี้! เงื่อนไขสำคัญ ลงทะเบียน www.เราชนะ.com รับเงินเยียวยาโควิดรอบใหม่
'คนละครึ่งเฟส 2' รอบเก็บตก เคยถูกตัดสิทธิ 14 วัน ลงได้อีกหรือไม่?
'ตลาดหุ้น' ที่ไหนจะรุ่ง ที่ไหนจะร่วง ในปี 2021
เปิดเหตุผล 'เราชนะ' จ่ายเยียวยา โควิดรอบใหม่กระทบพื้นที่เศรษฐกิจ 75%