หวัง เจี้ยนหลิน บุรุษผู้คิดไกล ทำใหญ่ (1)

"ฟอร์บ" จัดอันดับบุคคลรวยสุดของจีน "หวัง เจี้ยนหลิน" คว้าตำแหน่งไปครองแถมได้ "นักธุรกิจแห่งปีเอเซีย" อีกตำแหน่ง

ข่าวการประกาศรายชื่อมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งมากที่สุดของโลกและของประเทศในแต่ละปีนับเป็นเรื่องหนึ่งที่ผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านให้ความสนใจติดตามเสมอ บ้างก็ต้องการรู้จักที่มาที่ไปของคนเหล่านี้มากขึ้น และศึกษาถึงวิธีคิด วิธีทำงาน และแม้กระทั่งชีวิตส่วนตัวของคนเหล่านี้ เพื่อจะได้นำเอามาปฏิบัติใช้และอาจมีฐานะดีขึ้นแม้เพียงเศษเสี้ยวของมหาเศรษฐีเหล่านี้บ้างก็ตาม

เมื่อต้นเดือน ธ.ค. 2556 นิตยสารฟอร์บส ได้จัดอันดับบุคคลที่รวยที่สุดของจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งผลปรากฏว่า นายหวัง เจี้ยนหลิน ประธานกลุ่มต้าเหลียน ว่านต๋า ที่โด่งดัง กระโดดขึ้นคว้าตำแหน่งด้วยสินทรัพย์กว่า 86,000 ล้านหยวน หรือราว 14,100 ล้านดอลลาร์ พร้อมได้รับการยกย่องเป็น "นักธุรกิจแห่งปีของเอเซีย"

ขณะเดียวกัน รายชื่อมหาเศรษฐีหูหรัน ประจำปี 2556 ซึ่งจัดอันดับมหาเศรษฐีของจีนต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปี ก็ประกาศว่านายหวัง เจี้ยนหลินเป็นบุคคลที่มั่งคั่งที่สุดของจีนด้วยสินทรัพย์ถึง 135,000 ล้านหยวน แซงหน้านายจง ชิงโหว ผู้ก่อตั้งและเจ้าของกิจการกลุ่มวาฮาฮา ธุรกิจเครื่องดื่มชื่อดังแห่งนครหังโจว และทำลายสถิติความร่ำรวยที่นางหยาง ฮุ่ยเหยียน เศรษฐินีแห่งวงการอสังหาริมทรัพย์และสมาชิกครอบครัวเจ้าของคันทรีการ์เด้น ที่เคยมีสินทรัพย์จำนวนถึง 130,000 ล้านหยวนเมื่อปี 2550

สถิติมีไว้เพื่อรอการถูกทำลายจริง ๆ วันนี้ ผมเลยขอถือโอกาสเชิญชวนผู้อ่านมาติดตาม เกร็ดประวัติและเคล็ดลับความสำเร็จของนายหวัง บุคคลที่รวยที่สุดของจีนและนักธุรกิจแห่งปี 2556 ของเอเชียกัน

==> จากเด็กยากลำบาก สู่นักธุรกิจใหญ่

ท่านผู้อ่านหลายคนคงจะมีกำลังใจมากขึ้นเมื่อทราบว่า บุคคลที่มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดของจีนอย่างประธานหวังกลับมีชีวิตในวัยเด็กที่แสนยากลำบาก ไม่แตกต่างจากเด็กจีนทั่วไปในยุคนั้น เขาเกิดและเติบโตมาจากครอบครัวที่ยากจนในถิ่นทุรกันดารในเขตคังซี นครเฉิงตู มณฑลเสฉวน

ในระหว่างปี 2513-2529 เขาถูกเกณฑ์เข้ารับราชการทหารประจำกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ทรหดและปราศจากความร่าเริงดังเช่นชีวิตของวัยรุ่นทั่วไปในต่างประเทศ เขาต้องเดินเท้าระหกระเหินจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่งอย่างยากลำบากมาก โดยมีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งที่เขาต้องเดินแบกปืนและสัมภาระต่อเนื่องเป็นระยะเวลาถึงสองเดือนบนเส้นทางที่เต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็งที่หนาวเหน็บเป็นระยะทางยาวไกลนับพันกิโลเมตร แต่ด้วยความรักในอาชีพทหาร เขาก็ไม่เคยนึกย่อท้อแต่อย่างใด

อย่างไรก็ดี นายหวังในวัย 32 ปีก็ออกจากการรับราชการทหารตามนโยบายการลดกำลังพล ก่อนจะตัดสินใจเดินทางไกลอีกครั้ง โดยในครั้งนี้ เขาเลือก "ล่าฝัน" ไปสมัครทำงานในกิจการรัฐวิสาหกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ในต้าเหลียน เมืองท่าสุดปลายแหลมที่โด่งดังของมณฑลเหลียวหนิง แถบอีสานจีน ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตคู่ และได้มีโอกาสเรียนรู้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเวลาต่อมา

ทั้งนี้ นายหวังแต่งงานและมีลูกชายหนึ่งคนนามว่า "ซือฉง" ซึ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของอังกฤษและเปิดกิจการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอยู่ในปัจจุบัน

ประธานหวัง ผู้ซึ่งไม่ชอบชีวิตการเป็นข้าราชการ เล่าย้อนถึงเหตุการณ์ในช่วงนั้นว่า เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เลย แต่เห็นว่าเป็นจังหวะโอกาสที่ดี โดยในปี 2535 เขาก็ได้ฉกฉวยโอกาสที่คนอื่นมองไม่เห็นโดยการเข้าซื้อกิจการของบริษัทซีกังที่เต็มไปด้วยหนี้สินตามนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ของรัฐบาลจีน ด้วยเงินลงทุนเพียง 500,000 หยวน โดยได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากแม่ยาย

หลังจากนั้น ประธานหวังก็ปรับเปลี่ยนแนวทาง ปรับโครงสร้างองค์กร และกลยุทธ์ของบริษัทให้สอดคล้องตามยุคปฏิรูปพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษทางภาคใต้ของจีนของเติ้ง เสี่ยวผิง รวมทั้งเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น "ต้าเหลียนว่านต๋า" ซึ่งแปลว่า "ความสำเร็จที่ล้นหลาม" และเริ่มขยับขยายกิจการไปยังนครกวางโจว ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญทางตอนใต้ของจีน ที่เปิดสู่โลกภายนอกในช่วงแรก

แต่โอกาสก็เกิดขึ้นมาพร้อมกับวิกฤติเมื่อรัฐบาลจีนในขณะนั้นเปลี่ยนนโยบายกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์งดปล่อยสินเชื่อให้แก่กิจการอสังหาริมทรัพย์ในจีน ซึ่งส่งผลให้ร้อยละ 70 ของกิจการอสังหาริมทรัพย์จีนโดยรวมในยุคนั้นต้องล้มละลาย

เหตุการณ์ในครั้งนี้ยังทำเอาประธานมือใหม่อย่างนายหวังลมจับ และล้มป่วยเข้าโรงพยาบาลอยู่นานนับสัปดาห์ ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากและเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับกลุ่มว่านต๋า หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ประธานหวังได้สั่งให้ทีมงานการเงินตระเตรียมกระแสเงินสดให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในอีกหลายระลอกในเวลาต่อมา

การเติบโตของคนชั้นกลางในจีน ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทในช่วงนั้น บริษัทสามารถกลับมาสร้างหลักปักฐานได้ในเวลาต่อมา และด้วยกลยุทธ์การลดระยะเวลาดำเนินโครงการลง เขาสามารถแปรเปลี่ยนธุรกิจที่ใกล้ล้มละลายให้มาประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามชนิดไม่คาดฝัน

ปัจจุบัน นายหวัง เจี้ยนหลิน ผู้ซึ่งชื่นชอบเพลงจีนพื้นบ้านและฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ มักใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในกรุงปักกิ่ง โดยเฉพาะในห้องทำงานชั้นที่ 25 ของอาคารว่านต๋าพลาซ่าในย่านกั๋วเม่า (Guomao) ในด้านธุรกิจ เขาเป็นที่รู้จักในนามผู้ก่อตั้งและประธานของกลุ่มว่านต๋า ซึ่งเป็นกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และบันเทิงเชิงพาณิชย์ที่เติบโตและทะเยอทะยานรวดเร็วมากที่สุดของจีน

เขาเชื่อว่า "บริษัทที่ยิ่งใหญ่อุบัติขึ้น มิใช่เกิดจากการพัฒนา เพราะทุกบริษัทต้องมีลักษณะเฉพาะของตนเอง" โดยกลุ่มว่านต๋ามีคติพจน์ว่า "International Wanda, Century Enterprise" ซึ่งมีความหมายว่า "ว่านต๋าในระดับสากล บริษัทแห่งศตวรรษ" และมีคุณลักษณะสำคัญ 4 ประการได้แก่ ความฝัน วัฒนธรรม จริยธรรม และความมีวินัย โดยอยู่บนพื้นฐานของค่านิยม ที่มุ่งเน้นเรื่องความซื่อสัตย์ และคุณค่าทางสังคม แทนที่จะเห็นคุณค่าขององค์กรหรือส่วนตัว กล่าวคือ ควรเห็นคุณค่าของส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ซึ่งเป็นหลักข้อคิดของ "ขงจื๊อ"

ในปี 2556 กลุ่มว่านต๋ามีสินทรัพย์คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์ และรายได้ราว 180,000 ล้านหยวน ซึ่งธุรกิจสำคัญครอบคลุมตั้งแต่ว่านต๋าพลาซ่าอีกเกือบ 80 แห่ง ซึ่งเป็นกิจการที่ใหญ่ที่สุดในจีน คอมเพล็กซ์ ร้านค้าปลีก พร้อมที่พักอาศัยตลาดบนราว 80 แห่ง โรงแรมห้าดาวอีก 46 แห่งทั่วจีนและต่างประเทศ เป็นพันธมิตรกับแฟรนไชส์ด้านบริการโรงแรมชั้นนำของโลก อาทิ ฮิลตัน แอคคอร์ และสตาร์วู้ด รวมทั้งโรงภาพยนตร์มัลติเพล็กซ์ ถึง 730 โรง รวมราว 6,000 จอ และศูนย์คาราโอเกะอีกราว 70 แห่งทั่วจีน

นอกจากนี้ กลุ่มว่านต๋ายังมีโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อื่นอีกมากมายทั้งในและต่างประเทศ อาทิ โครงการก่อสร้างพลาซ่าจำนวน 50 แห่ง ซึ่งจะทำให้พื้นที่การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มเพิ่มขึ้นเป็น 23 ล้านตารางเมตรในปี 2557

ความสำเร็จในการพัฒนากิจการของกลุ่มว่านต๋าให้เติบโตอย่างรวดเร็ว และมีแนวทางที่ชัดเจนในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา และกลายเป็นนิติบุคคลที่ชำระภาษีเงินได้มากที่สุดในบรรดากิจการเอกชนของจีนในปัจจุบัน ทำให้วงการธุรกิจจีนต่างขนานนามประธานหวังในวัย 59 ปีว่าเป็น "เจ้าพ่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์"